Open top menu
#htmlcaption1 SEA DICAT POSIDONIUM EX GRAECE URBANITAS SED INTEGER CONVALLIS LOREM IN ODIO POSUERE RHONCUS DONEC Stay Connected
วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558
   รูปแบบการรุก


             1.  การรุกแบบแบ่งเขต (Zone  Defense)
                    การรุกเมื่อฝ่ายป้องกันตั้งป้อมรับ  เป็นเรื่องที่ผู้เล่นและผู้ฝึกจะต้องทำความเข้าใจให้ดี เพราะในสถานการณ์การเล่นการแข่งขันย่อมเปลี่ยนแปลงไปได้ทุกขณะ  ซึ่งขึ้นอยู่กับวิธีการแก้เกมของฝ่ายป้องกันที่จะพยายามป้องกันฝ่ายรุกไม่ให้ทำประตูได้โดยง่าย  ฝ่ายรุกมักจะพบอยู่เสมอว่า  ฝ่ายป้องกันที่มีรูปร่างสูงใหญ่และเข้าแย่งลูกบอลหลังจากการยิงประตูได้ดี มักจะใช้วิธีการป้องกันแบบแบ่งเขตหรือแบบตั้งป้อม (Zone Defense) (เสกสรร ห้วยอำพัน, ศิริวรรณ สังขพันธุ์, และยุทธนา วงศ์วิรัติ, 2532 : 102)
                  เมื่อทีมถูกป้องกันแบบแบ่งเขตก็สามารถรุกแบบแบ่งเขตได้  ในการตั้งรับแบบแบ่งเขตจะต้องใช้เวลาพอสมควร ฉะนั้นถ้าฝ่ายรุกเร่งการรุกเร็วกว่าก็สามารถทำคะแนนได้ก่อนที่การป้องกันจะ ตั้งรับทันท่วงที (สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ, 2548 : 112)
                  ผู้เล่นที่จะรับลูกบอลในตำแหน่งของเขตที่ตนยืนนั้นจะต้องเคลื่อนที่เข้ารับการส่งแทนที่จะยืนรอลูกบอลเพราะอาจจะถูกฝ่ายป้องกันฉวยโอกาสตัดลูกบอลได้
                    จุดมุ่งหมายของการรุกแบบแบ่งเขตก็เพื่อจัดรูปแบบการส่งลูกบอลให้เป็นรูปสามเหลี่ยมเพื่อไม่ให้ถูกตัดเพื่อแย่งลูกบอล

          หลักในการรุกเมื่อฝ่ายป้องกันตั้งรับแบบแบ่งเขต
           เสกสรร ห้วยอำพัน, ศิริวรรณ สังขพันธุ์, และยุทธนา วงศ์วิรัติ, 2532 : 104) ได้สรุปไว้ว่า
           1.  ต้องแน่ใจว่าฝ่ายป้องกันตั้งรับแบบแบ่งเขต  เราจึงเล่นแผนการรุกแบบแบ่งเขต         
           2.  พิจารณาให้แน่ใจว่าการตั้งรับแบบแบ่งเขตของคู่ต่อสู้เป็นแบบใด
           3.  มาหาจุดอ่อนของฝ่ายป้องกันว่าอยู่ตรงไหน
           4.  วางจุดของผู้เล่นฝ่ายรุกตามรูปแบบของแผนการเล่น
           5.  ต้องเคลื่อนที่ตลอดเวลาและพยายามสร้างสถานการณ์ให้ฝ่ายป้องกัน 2 คน  ป้องกันเราคนเดียวเพื่อเปิดช่องว่างให้เพื่อนรวมทีมเข้ายิงประตู
           6.  วิธีการรุกเมื่อฝ่ายรับตั้งรับแบบแบ่งเขตวิธีที่ดีที่สุดคือ การเล่นเร็วหรือลักไก่ (Fast  Break)  ก่อนที่ฝ่ายรับจะตั้งรับทัน
           7.  พยายามส่งลูกบอลให้มากๆ  พยายามทำให้ฝ่ายป้องกันเสียขบวนให้ได้
           8.  ต้องใจเย็น  สุขุม  เมื่อขึ้นยิงประตูต้องแน่ใจว่าจะต้องได้ประตูอย่างแน่นอน อย่าใจร้อนรีบยิงประตูในระยะไกลเสียก่อน
Read more
การฝึกการเล่นบาสเกตบอล


            กรมพลศึกษา (2543 : 15)  ได้แนะนำว่า  การฝึกบาสเกตบอลสำหรับผู้เล่นใหม่ๆ นั้น  ต้องเริ่มจากขั้นเบาๆ ไปหาหนัก  หรือจากง่ายไปหายาก  เพื่อให้สามารถเล่นเป็นทีมได้เป็นอย่างดี  การฝึกขั้นพื้นฐานมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักกีฬาที่ปรารถนาจะเป็นนักกีฬาที่มีความสามารถในการเล่นและ ยังต้องมีความอุตสาหะ ความพยายาม และความอดทนเป็นพื้นฐานพร้อมที่จะรับการฝึกเป็นขั้นๆไปตามลำดับด้วยความ ตั้งใจมั่นอย่างแท้จริง  การฝึกจะก่อให้เกิดประโยชน์โดยสมบูรณ์  ซึ่งมีลำดับการฝึกอยู่ 3 ขั้น  คือ
          1.  การฝึกเบื้องต้น
                 เป็นการฝึกโดยการวางรากฐานที่ถูกต้องและดีงามให้กับนักกีฬา  ในการที่จะเพิ่มความฉลาด  ความสามารถในการเล่นให้ดียิ่งๆ ขึ้น  ขั้นการฝึกมี 3 ขั้น  คือ    
                 1.1  การเตรียมตัวก่อนการเล่น (Warm Up)  เพื่อให้เกิดความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจก่อนการเล่นหรือการฝึก
                 1.2  การฝึกเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับลูกบาสเกตบอล
                 1.3  การฝึกความคล่องตัวในการเล่นบอล
          2.  การฝึกความสามารถเฉพาะบุคคล
                 เป็นการฝึกเพิ่มขีดความสามารถขั้นที่ 2 ของนักกีฬาต่อจากการฝึกเบื้องต้น เมื่อนักกีฬามีหลักพื้นฐานเกี่ยวกับการฝึกเบื้องต้นแล้ว  จำเป็นต้องฝึกให้เกิดความชำนาญในท่าการฝึกนั้นๆ ยิ่งขึ้นไป  เพื่อจะได้เป็นความสามารถเฉพาะตัวอย่างแท้จริงของนักกีฬาสืบไป  และการฝึกความสามารถเฉพาะตัวบุคคลนั้น  พอจะสรุปเป็นหัวข้อการฝึกได้ดังนี้
                 2.1  การเคลื่อนตัวเพื่อเล่นลูกบอล  การหลอกล่อ  การสกรีน
                 2.2  การส่งลูก 
                 2.3  การเลี้ยงบอล ช้า - เร็ว
                 2.4  การยิงประตูแบบต่างๆ  ระยะใกล้ - ไกล
                 2.5  การรับลูกลักไก่
                 2.6  การสกัดกั้นแบบต่างๆ
                 2.7  การรุก
                 2.8  การป้องกัน
          3.  การฝึกเป็นทีม
                เป็นขั้นสุดท้ายของการฝึกนักกีฬาบาสเกตบอล  ซึ่งจะต้องฝึกหลังจากการฝึกเบื้องต้น  และฝึกความสามารถเฉพาะตัวบุคคลมาแล้ว  เพราะถ้าข้ามมาฝึกเป็นทีมเลยทีเดียว  ผลเสียจะเกิดกับนักกีฬาเป็นอย่างมาก เพราะนักกีฬาไม่รู้จักการเล่นวิธีต่างๆ มาก่อน 
Read more
การคัดเลือกนักบาสเกตบอล



             บัณฑิต หาญธงชัย (2544 : 232–233) ได้แนะนำว่า การออกกำลังกายและการเล่นกีฬา  โดยเฉพาะกีฬาประเภททีม  นักกีฬาจะมีรูปร่างต่างกัน  กีฬาบาสเกตบอลเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยการพาลูกบาสเกตบอลเข้าไปยิงประตูที่อยู่สูงจากพื้น  ดังนั้นรูปร่างของนักบาสเกตบอลจะต้องเป็นผู้ที่มีขนาดสูงใหญ่ 
             การคัดเลือกนักบาสเกตบอลทุกตำแหน่ง  ถ้าได้ผู้เล่นมีรูปร่างสูงใหญ่และมีความสามารถก็ย่อมได้เปรียบดังนั้น ตำแหน่งผู้เล่นกีฬาบาสเกตบอลจะต้องมีการคัดเลือกให้เหมาะสมกับตำแหน่งและรูปร่าง  ซึ่งได้กล่าวถึงการคัดเลือกตัวนักบาสเกตบอลว่ามีวิธีการคัดเลือก 3 วิธี คือ การคัดเลือกตัวโดยคำนึงถึงรูปร่างและตำแหน่ง การคัดเลือกตัวตามทักษะและการคัดเลือกตัวทางจิตวิทยา
             ก.  การคัดเลือกตัวโดยคำนึงถึงรูปร่าง ตำแหน่ง เป็นเกณฑ์
                     การคัดเลือกตัวตามวิธีนี้จะพิจารณารูปร่างของผู้เล่นแต่ละตำแหน่ง ดังนี้
                        1) การ์ด 1 รูปร่างเล็ก มีความคล่องตัวสูง เป็นผู้ส่งลูกในการกำหนดเกมรุก
                        2) การ์ด 2 รูปร่างสูง มีน้ำหนักตัวมาก และมีความสามารถลำเลียงบอลขึ้นไปด้วยแย่งลูกบอลได้ดี
                        3) ปีก 1 รูปร่างเล็ก ผอม สูงไม่มาก มีความเร็วสูง และมีความสามารถในการยิงประตูสูง มีการตัดสินใจที่ดี
                        4) ปีก 2 มีความสูง มีน้ำหนักตัว สามารถแย่งบอลภายหลังจากยิงประตูมีความสามารถในการกระโดดยิงและยืนยิงประตู
                        5)  เซ็นเตอร์  มีความสูง มีน้ำหนักตัวมาก
             ข.  การคัดเลือกตัวตามทักษะความสามารถ
                        1)  มีทักษะในการยิงประตู
                        2)  มีการเลี้ยงลูก ส่งลูก การรับลูกได้ดี
                        3)  มีการกระโดดแย่งลูกได้ดี
                        4)  มีการหยุด การวิ่ง หมุนตัว เปลี่ยนทิศทางที่ดี
                        5)  มีการป้องกันที่ดี
             ค.  การคัดเลือกตัวทางด้านจิตวิทยา
                        1)  ต้องมีความปรารถนาต้องการเข้าร่วมการแข่งขัน
                        2)  ต้องมีการเสียสละ อุทิศเวลาให้กับกีฬา
                        3)  ต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเอง      
                        4)  ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง เพื่อน ผู้ฝึก มีน้ำใจนักกีฬา
Read more
การเล่นเป็นทีม



ตำแหน่งและหน้าที่ของผู้เล่น
                       หัวใจของการเล่นบาสเกตบอลคือการเล่นเป็นทีมและการประสานความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นเข้าด้วยกันได้อย่างสอดคล้องลงตัว  การเล่นบาสเกตบอลจะแบ่งผู้เล่นเป็น 2 ทีม ทีมที่ครอบครองลูกและพยายามนำลูกไปยิงประตู เรียกว่า  “ฝ่ายบุก”  หรือ “ฝ่ายรุก”  ส่วนทีมที่พยายามป้องกันไม่ให้ฝ่ายรุกยิงประตู เรียกว่า “ฝ่ายป้องกัน” หรือ“ฝ่ายรับ”  ซึ่งในการแข่งขันทั้งสองฝ่ายมักจะผลัดกันเป็นฝ่ายรับและฝ่ายรุก  แต่ละฝ่ายจะมีผู้เล่นฝ่ายละ 5 คน ซึ่งเดิมมักจะระบุตำแหน่งและหน้าที่การเล่นกันอย่างชัดเจน  ปัจจุบันรูปแบบการเล่นได้เปลี่ยนแปลงไปมาก  ผู้เล่นแต่ละคนต้องเล่นได้ในทุกตำแหน่ง  เมื่อเป็นฝ่ายรุกผู้เล่นทุกคนจะทำหน้าที่กองหน้าร่วมกันทำคะแนน  และเมื่อเป็นฝ่ายรับ ผู้เล่นทุกคนก็จะเป็นการ์ดร่วมกันป้องกันการทำคะแนนของฝ่ายตรงข้าม  ตำแหน่งโดยทั่วไปแบ่งได้ดังนี้ (พิษณุ พิพัฒน์วงศ์, 2544 : 72-73)

          1.  ผู้เล่นกองหลัง (Guard) ประกอบด้วยผู้เล่นในตำแหน่งการ์ดซ้ายและการ์ดขวา เล่นกันอยู่คนละซีกของสนาม  คอยป้องกัน  รบกวนไม่ให้คู่ต่อสู้เข้าทำประตูใต้แป้นได้ หรือกันไม่ให้ยิงลูกระยะไกลได้สะดวก ปัจจุบันมักแยกเป็นตำแหน่ง Point Guard หรือการ์ดที่ทำหน้าที่จ่ายลูก  ต้องมีทักษะในการจับ  การส่งลูกอ่านเกมทั่วทั้งสนามได้ดีมักจะเป็นหัวหน้าทีมอีกคนหนึ่งจะทำหน้าที Shooting Guard  หรือการ์ดที่ทำหน้าที่ทำคะแนน

            2.  ผู้เล่นกองกลาง (Center)  เป็นตัวเชื่อมเกมระหว่างกองหน้าและกองหลัง ทำหน้าที่ทั้งระวังคู่ต่อสู้ในเกมรับและคอยหนุนบอลและหาโอกาสทำประตูในเกมรุก ปกติจะมีเพียงคนเดียว  แต่ในบางแผนการเล่นอาจจะเปลี่ยนผู้เล่นในตำแหน่งอื่นให้มาเสริมในตำแหน่งกองกลางเพิ่มขึ้นก็ได้  มักจะเป็นผู้เล่นที่สูงที่สุดในทีมเป็นตัวหลักของทีม  ทำคะแนนได้ในเกมรุกและสามารถป้องกันการทำคะแนนจากฝ่ายตรงข้ามได้ในเกมรับ

          3.  ผู้เล่นกองหน้า (Forward)  ประกอบด้วยผู้เล่นที่เล่นอยู่ทางซีกซ้ายของสนามที่เรียกว่า  ปีกซ้าย และผู้เล่นที่เล่นอยู่ทางซีกขวาของสนามที่เรียกว่า ปีกขวา  อาจวิ่งสลับข้างกัน หรืออาจจะลงมาเล่นเป็นกองกลางหรือกองหลังก็ได้ตามแต่แผนการเล่นที่วางไว้หรือการหมุน  แทนตำแหน่งกันในการเล่น  ปัจจุบันมักแยกเป็น Small Forward หรือปีกตัวเล็ก เป็นตัวยิงประตูได้ทั้งระยะใกล้และระยะไกล ส่งลูกบอลได้แม่นยำ มีความสามารถโดดเด่นในการแย่งลูกกระดอนจากแป้น  ที่เรียกกันว่าลูก Rebound   อีกคนหนึ่งเรียกว่า Power Forward หรือปีกใน มักจะเป็นผู้เล่นที่ตัวใหญ่  แข็งแกร่ง  เด่นในเกมรับ  และแย่งลูกที่กระดอนจากแป้น
Read more
ทักษะการรุก



ความหมายของการรุก
              สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ (2548 : 110)  ได้ให้ความหมายว่า  การรุก  คือ  การจู่โจมหรือการเข้ากระทำเพื่อทำคะแนน  ซึ่งเริ่มต้นจากการเคลื่อนที่พร้อมลูกบอลไปยังพื้นที่หรือตำแหน่งที่จะยิงประตูและทำคะแนนได้ดีที่สุด

หลักการของการรุก
               โค้ชต้องสอนให้ผู้เล่นเต็มใจและทุ่มเทอย่างรุกเร้าและก้าวร้าวเมื่อเป็นฝ่ายรุก  ทั้งนี้หมายความว่าต้องรุกอย่างเต็มที่และไม่หยุดชะงัก   การรุกเช่นนี้อาจจะเกิดการฟาวล์แต่ฝ่ายป้องกันก็ต้องฟาวล์ฝ่ายรุกเช่นกันเพื่อไม่ให้ทำคะแนนซึ่งจะชดเชยกันได้  การรุกอย่างทุ่มเทย่อมสูญเสียการครองครองลูกบอลน้อยลงและยังรีบาวด์ได้มากด้วย  (สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ, 2548: 110)

 ปัจจัยสำคัญของการรุก 
              
ผู้เล่นฝ่ายใดประกอบด้วยผู้เล่นที่มีความสามารถเฉพาะตัวสูงในเรื่องต่อไปนี้ย่อมได้เปรียบคือ(เสกสรร ห้วยอำพัน, ศิริวรรณ สังขพันธุ์, และยุทธนา วงศ์วิรัติ, 2532 : 10-13)
                1.  การยิงประตูที่แม่นยำ
                2.  การส่งลูกที่แม่นยำ และได้ผล
                3.  การเลี้ยงลูกบอลที่คล่องแคล่ว
                4.  การเคลื่อนที่ที่มีประสิทธิภาพ
                5.  การหลอกล่อที่มีผล
                6.  การรับลูกที่แน่นอน
                7.  การกำบังคู่ต่อสู้ที่เป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ  ผู้เล่นชุดดังกล่าวย่อมมีโอกาสได้เป็นฝ่ายรุกเสมอ   หากได้มีการฝึกซ้อมที่ดีและมีแผนการรุกหลายรูปแบบก็ย่อมจะเป็นฝ่ายที่ชัยเสมอ

ปัจจัยสำคัญของฝ่ายรุกที่ผู้ฝึกจำเป็นจะต้องทราบ คือ
                1.  การเคลื่อนที่ของลูกบอล
                2.  การเคลื่อนที่ของผู้เล่น
                3.  การรับลูกบอลเพื่อหาจังหวะเข้ายิงประตู
                4.  การกระโดดขึ้นรับลูกบอลที่จะกระดอนจากแป้นแล้วยิงประตู  หรือส่งต่อโดยที่ไม่ต้องลงสู่พื้น
                5.  การรักษาพื้นที่ให้สมดุล
                6.  การรุกแบบมีผู้ป้องกันตัวต่อตัว
การเคลื่อนที่ของลูกบอล
              เมื่อฝ่ายรับเปิดโอกาสให้เราเป็นฝ่ายรุก  ผู้เล่นทุกคนจะต้องรีบเล่นทันทีและส่งลูกให้ลื่นไหล ตลอดเวลาไม่ทำให้การเล่นเกิดการสะดุด  คือ  ไม่พยายามครอบครองลูกบอลไว้ด้วยใครคนใดคนหนึ่งนานเกินควร เพราะจะเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายรับตั้งหลักป้องกันได้การส่งลูกกลับไปกลับมาระหว่างผู้เล่นสองคนก็จะเปิดโอกาสให้ฝ่ายรับเข้าแย่งลูกได้โดยง่ายจึงไม่ควรกระทำ 

ยุทธวิธีการรุก  
              มีตัวอย่างยุทธวิธีการรุกที่นิยมใช้กัน  เช่น
            1.  การประสานงานใต้แป้น  ใช้ในการรุกเร็วใต้แป้นประสานงานการับ - ส่ง อย่างสัมพันธ์กัน  ผู้ครอบครองลูกบอลหรือกำลังเลี้ยงลูกบอลอยู่แล้วส่งให้ฝ่ายเดียวกัน   โดยอาศัยการเคลื่อนที่เปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ผสมการหลอกล่อให้ฝ่ายป้องกันเสียหลัก  วิ่งเจาะเข้าใต้แป้นเพื่อทำประตู
            2.  การกำบัง  เป็นการรุกโดยเลือกโอกาสและตำแหน่งที่เหมาะสม ใช้เทคนิคและร่างกายขวางทิศทางการเคลื่อนที่ของฝ่ายรับ   คอยเคลื่อนที่หาจังหวะที่ฝ่ายตรงข้ามพลาดท่า   ส่งบอลให้กันในแบบ  Give and Go  คือ  ส่งบอลให้เพื่อนแล้ววิ่งไปรับต่อในเขตใกล้ห่วงเพื่อยิงประตูหรือเปิดโอกาส ให้เพื่อนร่วมทีมเจาะเข้ายิงประตู

ทักษะการรุก

                 เสกสรร ห้วยอำพัน, ศิริวรรณ สังขพันธุ์, และยุทธนา วงศ์วิรัติ (2532 : 99)  การเล่นกีฬาบาสเกตบอล
ก็เหมือนกับกีฬาประเภททีมอื่นๆ ทั่วไป  ที่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ของผู้เล่นในทีมเพื่อให้การเล่นดำเนินไปได้อย่างดี กีฬาบาสเกตบอลมีจุดมุ่งหมายการเล่นเพื่อนำลูกบอลไปโยนหรือยิงประตูให้ลูกบอล ลงห่วงประตูของฝ่ายตรงกันข้าม
  
                 ในทันทีที่ลูกบอลตกไปอยู่ในมือของฝ่ายใด ฝ่ายนั้นก็จะมีสถานะเป็นฝ่ายรุกและเริ่มใช้กลยุทธ์ในการ
นำลูกเข้ายิงประตูเพื่อทำคะแนนเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง  โดยผสมด้วยทักษะของการรับ การส่ง  การเลี้ยง  การหลอกล่อ การ
หลบหลีก  การยิงประตู  และการกระโดดแย่งลูกบอล ในขณะเดียวกันนี้เองฝ่ายป้องกันซึ่งไม่มีลูกบอลอยู่ในมือก็พยา
ยามใช้ความสามารถป้องกันด้วยกลวิธีต่างๆ รวมทั้งเข้าแย่งลูกบอลมาเป็นของตนบ้างเช่นกัน

                 สมัยก่อนการเล่นบาสเกตบอลมักนิยมแบ่งตำแหน่งหน้าที่ออกเป็น 5 ตำแหน่ง  คือ ศูนย์กลาง 1 คน   การ์ด 2 คน (ซ้ายและขวา) และหน้า 2 คน (ซ้ายและขวา) แต่ปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับก็ตาม ผู้เล่นแต่
ละคนต้องสามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งหน้าที่  ดังนั้นเมื่อเป็นฝ่ายรุก ทั้ง 5 คน ก็จะเป็น  “หน้าทั้งหมด”  แต่ถ้าตกเป็น
ฝ่ายรับ ทั้ง 5 คน ก็จะเป็น  “การ์ด”  ทั้งหมด  ทีมใดที่มีโอกาสครอบครองลูกบอลและยิงประตูมากที่สุดมักจะเป็นทีมที่
ประสบชัยชนะในการแข่งขัน


          ตำแหน่งและหน้าที่ของผู้เล่นที่เป็นฝ่ายรุก
        
        สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ (2548 : 110-111)   ได้แบ่งตำแหน่งและหน้าที่ไว้ดังนี้ 
ผู้เล่น 5 คน  เมื่อรุกจะแบ่งตำแหน่งดังนี้
                1.  การ์ด (Guard)  มี 2 คน  คือ  การ์ดที่จ่าย (ส่ง) ลูกบอลให้ผู้เล่นที่อยู่ในตำแหน่งได้เปรียบเพื่อทำคะแนน  เรียกชื่อว่า การ์ดนอก (Point Guard)   เพราะเขาจะอยู่นอกพื้นที่กำหนดเวลา  นอกเส้นโค้งของวงกลมการโยนโทษ  ผู้เล่นคนนี้มีความเร็วและมีทักษะการครอบครองลูกบอลสูงมาก  การ์ดอีกคนหนึ่งจะอยู่ในตำแหน่งใกล้เขตกำหนดเวลาและอยู่ด้านซ้ายหรือขวามือก็ได้  โดยมีหน้าที่คือ  เป็นการ์ดที่ยิงประตู (Shooting Guard) หรือการ์ดใน เพราะอยู่ใกล้ห่วงประตูและมีความสามารถในการยิงประตู  จึงอาจจะยิงประตูหรือส่งลูกบอลต่อให้ปีกหรือเซ็นเตอร์ก็ได้
                2.  ปีก (Forward)  มีผู้เล่นตำแหน่งนี้ 2 คน ซึ่งปกติจะมีลักษณะและขนาดรูปร่างสูงใหญ่  พร้อมความสามารถในการยิงประตูและการรีบาวด์  หรือส่งลูกบอลได้ดี
                     ปกติจะยืนในตำแหน่งโพสท์ (Post)  คู่หรือตรงกันข้ามกับเซ็นเตอร์หนึ่งคน  ส่วนอีกคนหนึ่งจะยืนใกล้การ์ดในหรืออยู่ตรงกันข้ามกับการ์ดในและเซ็นเตอร์
                      หน้าที่หลัก  คือ  การยิงประตูและการรีบาวด์คู่กับเซ็นเตอร์  บางกรณีอาจจะทำการกำบังให้การ์ดในหรือเซ็นเตอร์ก็ได้

                3.  เซ็นเตอร์ (Center)  ตำแหน่งนี้จะเป็นผู้เล่นที่สูงและรูปร่างใหญ่ มีน้ำหนักตัวมากลักษณะพิเศษ
คือยิงประตูระยะใกล้ได้ดี  กระโดดเพื่อรีบาวด์ได้ดีและทำงานร่วมกับปีกและการ์ดในได้ดี
                  ปกติจะยืนใกล้ห่วงประตู(Low Post)ทางด้านใดด้านหนึ่งโดยมีปีกยืนคู่หรือตรงกันข้ามหรือปีกยืนในตำแหน่งห่างออกไปแต่ใกล้เขตกำหนดเวลา (High/Medium Post)เพื่อช่วยเซ็นเตอร์ในการรุก  ฉะนั้นเซ็นเตอร์จึงต้องทำหน้าที่ในการยิงประตูระยะใกล้และรีบาวด์   หรือรุกร่วมกับปีก

          หลักการเป็นผู้เล่นฝ่ายรุก
            เสกสรร ห้วยอำพัน, ศิริวรรณ สังขพันธุ์, และยุทธนา วงศ์วิรัติ (2532 : 111)   ได้สรุปหลักการเป็นผู้เล่นฝ่ายรุกไว้ดังนี้
            1.  ผู้เล่นทุกคนควรรู้กติกาการเล่นบาสเกตบอลเป็นอย่างดี
            2.  พยายามหาที่ว่างให้ตนเองหลุดพ้นจากการติดตาม  หรือการควบคุมของฝ่ายตรงข้าม
            3.  รู้จักฉวยโอกาสการเล่นทุกคนเมื่อเริ่มเล่นเกมเร็ว  ต้องรู้หน้าที่ของตนเองว่าจะเล่นอย่างไร
            4.  รู้จักรอโอกาสการเล่น  คือ  สามารถเล่นเกมให้ช้าลงได้เพื่อรอจังหวะในการเล่นเกมต่อไป
            5.  ผู้เล่นทุกคนต้องระลึกเสมอว่า  ทุกคนในทีมมีความสามารถทัดเทียมกัน  ที่จะให้เพื่อนร่วมทีมเล่น
ลูกบอลเพื่อเปิดโอกาส  และขณะเดียวกันต้องใช้โอกาสให้เหมาะสมกับความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นแต่ละคน เช่น
ควรส่งลูกบอลให้คนที่มีโอกาสทำประตูมากที่สุด
            6.  ขณะที่จะทำการยิงประตูทุกครั้งต้องมีความมั่นใจในการทำประตูว่า  การยิงประตูทุกครั้งลูกต้องลงห่วง
ประตู  และพร้อมที่จะติดตามลูกบอล (Rebound)  เมื่อลูกบอลไม่ลงห่วง
            7.  ศึกษาจุดอ่อนของฝ่ายป้องกันเพื่อหาโอกาสเข้าทำประตู  และเปลี่ยนเกมการเล่นเมื่อฝ่ายตรงข้ามจับ
ทิศทางการเล่นได้
            8.  ทุกคนต้องพร้อมที่จะเล่นลูกบอลตลอดเวลา
            9.  มีความมั่นใจในการลงเล่นหรือลงแข่งขันทุกครั้ง
           10.  ควรได้รับการฝึกหัดการรุกแบบต่างๆ อย่างดีและสม่ำเสมอ
 
Read more
การทรงตัว


กีฬาบาสเกตบอลเป็นกีฬาที่ต้องใช้การเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว  อีกทั้งมีทักษะเบื้องต้นหลายอย่าง ได้แก่
การวิ่ง  การถอยหลังการกระโดด การหมุนตัว การเลี้ยงลูก การส่ง – รับ ลูกบาสเกตบอล  เป็นต้น การเคลื่อนที่ และการปฏิบัติทักษะนั้นการทรงตัวที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรก เพราะการทรงตัวเป็นรากฐานเบื้องต้นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฝึกหัด  การเล่นบาสเกตบอลซึ่งผู้ฝึกหัดทุกคนโดยเฉพาะผู้ฝึกหัดใหม่จะต้องฝึกให้เกิด ความชำนาญ โดยเหตุที่การเล่นบาสเกตบอลมีการเคลื่อนที่ด้วยเท้าทั้งสองข้างตลอดเวลา  ทั้งขณะที่เป็นฝ่ายรุกและฝ่ายป้องกัน  ทั้งในขณะที่ครอบครองลูกบอลอยู่ในมือและขณะมือเปล่า การเคลื่อนที่ดังกล่าวมักจะต้องทำด้วยความรวดเร็ว  ว่องไว  และถูกต้องตามเทคนิค  ดังนั้นถ้าการทรงตัวไม่ดีย่อมเป็นอุปสรรคสำคัญต่อประสิทธิภาพการเคลื่อน ที่  จากเหตุผลดังกล่าวแล้วท่าของการทรงตัวและจังหวะการใช้เท้า (Footwork)  และการถ่ายน้ำหนักตัว (Center of  Gravity)  จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องศึกษาและฝึกหัดให้ชำนาญ

              เฉลี่ย พิมพันธุ์ (2537: 42-43)  ได้กล่าวถึงหลักสำคัญเกี่ยวกับการทรงตัวไว้ดังนี้
            1.  ยืนแยกเท้าห่างกันประมาณช่วงไหล่เป็นลักษณะที่ดีที่สุด
            2.  ให้น้ำหนักตัวเฉลี่ยที่เท้าทั้งสองข้าง  ค่อนไปทางปลายเท้า
            3.  เข่างอและโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
            4.  หน้ามองตรง
            5.  แขนกางออกเล็กน้อย
            6.  ยืนในลักษณะกล้ามเนื้อผ่อนคลาย

            ในบางครั้งการยืนทรงตัวอาจใช้เท้าใดเท้าหนึ่งอยู่หน้าก็ได้  ซึ่งเป็นท่าการทรงตัวในการยืนป้องกัน  แต่เท้าทั้งสองจะต้องอยู่ในลักษณะเตรียมพร้อมเพื่อจะเคลื่อนที่ต่อไป
Read more
การส่งลูกบาสเกตบอล



          การส่งแบบมือเดียวเหนือไหล่  (Base Ball Pass)    
                เฉลี่ย พิมพ์พันธุ์ (2537 : 74)  กล่าวถึง  การส่งลูกแบบมือเดียวเหนือไหล่ว่าเหมาะสำหรับการส่ง
ระยะไกล   มีลักษณะเป็นการขว้างด้วยมือเดียว โดยมืออีกข้างหนึ่งคอยประคองลูกบอลจนอยู่ในตำแหน่งพร้อมที่จะ
ส่งลูกไปยังเป้าหมาย การส่งลูกแบบมือเดียวเหนือไหล่ด้วยมือขวา  มีวิธีปฏิบัติดังนี้
                 1.  เริ่มจากท่ายืนทรงตัว
                 2  ยกลูกบอลขึ้นเหนือไหล่ขวาเอนตัวไปด้านหลังพร้อมลูกบอลใช้มือซ้ายช่วยประคอง
                 3  มือขวาจับด้านหลังลูกบอล  หงายข้อมือขึ้นเล็กน้อย
                 4  ตามองที่หมาย  ก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า  ปล่อยมือซ้าย  บิดข้อศอกและไหล่ขวากลับมาหาผู้รับ
ส่งลูกบอลด้วยมือขวา  เหยียดแขน  ตวัดข้อมือลง  และดีดส่งด้วยนิ้วมือ   เหยียดแขนตามลูกบอล
                หมายเหตุ   การส่งลูกแบบมือเดียวเหนือไหล่ด้วยมือซ้ายให้ปฏิบัติตรงข้ามกับมือขวา
Read more