Open top menu
วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558



ความหมายของการรุก
              สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ (2548 : 110)  ได้ให้ความหมายว่า  การรุก  คือ  การจู่โจมหรือการเข้ากระทำเพื่อทำคะแนน  ซึ่งเริ่มต้นจากการเคลื่อนที่พร้อมลูกบอลไปยังพื้นที่หรือตำแหน่งที่จะยิงประตูและทำคะแนนได้ดีที่สุด

หลักการของการรุก
               โค้ชต้องสอนให้ผู้เล่นเต็มใจและทุ่มเทอย่างรุกเร้าและก้าวร้าวเมื่อเป็นฝ่ายรุก  ทั้งนี้หมายความว่าต้องรุกอย่างเต็มที่และไม่หยุดชะงัก   การรุกเช่นนี้อาจจะเกิดการฟาวล์แต่ฝ่ายป้องกันก็ต้องฟาวล์ฝ่ายรุกเช่นกันเพื่อไม่ให้ทำคะแนนซึ่งจะชดเชยกันได้  การรุกอย่างทุ่มเทย่อมสูญเสียการครองครองลูกบอลน้อยลงและยังรีบาวด์ได้มากด้วย  (สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ, 2548: 110)

 ปัจจัยสำคัญของการรุก 
              
ผู้เล่นฝ่ายใดประกอบด้วยผู้เล่นที่มีความสามารถเฉพาะตัวสูงในเรื่องต่อไปนี้ย่อมได้เปรียบคือ(เสกสรร ห้วยอำพัน, ศิริวรรณ สังขพันธุ์, และยุทธนา วงศ์วิรัติ, 2532 : 10-13)
                1.  การยิงประตูที่แม่นยำ
                2.  การส่งลูกที่แม่นยำ และได้ผล
                3.  การเลี้ยงลูกบอลที่คล่องแคล่ว
                4.  การเคลื่อนที่ที่มีประสิทธิภาพ
                5.  การหลอกล่อที่มีผล
                6.  การรับลูกที่แน่นอน
                7.  การกำบังคู่ต่อสู้ที่เป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ  ผู้เล่นชุดดังกล่าวย่อมมีโอกาสได้เป็นฝ่ายรุกเสมอ   หากได้มีการฝึกซ้อมที่ดีและมีแผนการรุกหลายรูปแบบก็ย่อมจะเป็นฝ่ายที่ชัยเสมอ

ปัจจัยสำคัญของฝ่ายรุกที่ผู้ฝึกจำเป็นจะต้องทราบ คือ
                1.  การเคลื่อนที่ของลูกบอล
                2.  การเคลื่อนที่ของผู้เล่น
                3.  การรับลูกบอลเพื่อหาจังหวะเข้ายิงประตู
                4.  การกระโดดขึ้นรับลูกบอลที่จะกระดอนจากแป้นแล้วยิงประตู  หรือส่งต่อโดยที่ไม่ต้องลงสู่พื้น
                5.  การรักษาพื้นที่ให้สมดุล
                6.  การรุกแบบมีผู้ป้องกันตัวต่อตัว
การเคลื่อนที่ของลูกบอล
              เมื่อฝ่ายรับเปิดโอกาสให้เราเป็นฝ่ายรุก  ผู้เล่นทุกคนจะต้องรีบเล่นทันทีและส่งลูกให้ลื่นไหล ตลอดเวลาไม่ทำให้การเล่นเกิดการสะดุด  คือ  ไม่พยายามครอบครองลูกบอลไว้ด้วยใครคนใดคนหนึ่งนานเกินควร เพราะจะเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายรับตั้งหลักป้องกันได้การส่งลูกกลับไปกลับมาระหว่างผู้เล่นสองคนก็จะเปิดโอกาสให้ฝ่ายรับเข้าแย่งลูกได้โดยง่ายจึงไม่ควรกระทำ 

ยุทธวิธีการรุก  
              มีตัวอย่างยุทธวิธีการรุกที่นิยมใช้กัน  เช่น
            1.  การประสานงานใต้แป้น  ใช้ในการรุกเร็วใต้แป้นประสานงานการับ - ส่ง อย่างสัมพันธ์กัน  ผู้ครอบครองลูกบอลหรือกำลังเลี้ยงลูกบอลอยู่แล้วส่งให้ฝ่ายเดียวกัน   โดยอาศัยการเคลื่อนที่เปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ผสมการหลอกล่อให้ฝ่ายป้องกันเสียหลัก  วิ่งเจาะเข้าใต้แป้นเพื่อทำประตู
            2.  การกำบัง  เป็นการรุกโดยเลือกโอกาสและตำแหน่งที่เหมาะสม ใช้เทคนิคและร่างกายขวางทิศทางการเคลื่อนที่ของฝ่ายรับ   คอยเคลื่อนที่หาจังหวะที่ฝ่ายตรงข้ามพลาดท่า   ส่งบอลให้กันในแบบ  Give and Go  คือ  ส่งบอลให้เพื่อนแล้ววิ่งไปรับต่อในเขตใกล้ห่วงเพื่อยิงประตูหรือเปิดโอกาส ให้เพื่อนร่วมทีมเจาะเข้ายิงประตู

ทักษะการรุก

                 เสกสรร ห้วยอำพัน, ศิริวรรณ สังขพันธุ์, และยุทธนา วงศ์วิรัติ (2532 : 99)  การเล่นกีฬาบาสเกตบอล
ก็เหมือนกับกีฬาประเภททีมอื่นๆ ทั่วไป  ที่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ของผู้เล่นในทีมเพื่อให้การเล่นดำเนินไปได้อย่างดี กีฬาบาสเกตบอลมีจุดมุ่งหมายการเล่นเพื่อนำลูกบอลไปโยนหรือยิงประตูให้ลูกบอล ลงห่วงประตูของฝ่ายตรงกันข้าม
  
                 ในทันทีที่ลูกบอลตกไปอยู่ในมือของฝ่ายใด ฝ่ายนั้นก็จะมีสถานะเป็นฝ่ายรุกและเริ่มใช้กลยุทธ์ในการ
นำลูกเข้ายิงประตูเพื่อทำคะแนนเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง  โดยผสมด้วยทักษะของการรับ การส่ง  การเลี้ยง  การหลอกล่อ การ
หลบหลีก  การยิงประตู  และการกระโดดแย่งลูกบอล ในขณะเดียวกันนี้เองฝ่ายป้องกันซึ่งไม่มีลูกบอลอยู่ในมือก็พยา
ยามใช้ความสามารถป้องกันด้วยกลวิธีต่างๆ รวมทั้งเข้าแย่งลูกบอลมาเป็นของตนบ้างเช่นกัน

                 สมัยก่อนการเล่นบาสเกตบอลมักนิยมแบ่งตำแหน่งหน้าที่ออกเป็น 5 ตำแหน่ง  คือ ศูนย์กลาง 1 คน   การ์ด 2 คน (ซ้ายและขวา) และหน้า 2 คน (ซ้ายและขวา) แต่ปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับก็ตาม ผู้เล่นแต่
ละคนต้องสามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งหน้าที่  ดังนั้นเมื่อเป็นฝ่ายรุก ทั้ง 5 คน ก็จะเป็น  “หน้าทั้งหมด”  แต่ถ้าตกเป็น
ฝ่ายรับ ทั้ง 5 คน ก็จะเป็น  “การ์ด”  ทั้งหมด  ทีมใดที่มีโอกาสครอบครองลูกบอลและยิงประตูมากที่สุดมักจะเป็นทีมที่
ประสบชัยชนะในการแข่งขัน


          ตำแหน่งและหน้าที่ของผู้เล่นที่เป็นฝ่ายรุก
        
        สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ (2548 : 110-111)   ได้แบ่งตำแหน่งและหน้าที่ไว้ดังนี้ 
ผู้เล่น 5 คน  เมื่อรุกจะแบ่งตำแหน่งดังนี้
                1.  การ์ด (Guard)  มี 2 คน  คือ  การ์ดที่จ่าย (ส่ง) ลูกบอลให้ผู้เล่นที่อยู่ในตำแหน่งได้เปรียบเพื่อทำคะแนน  เรียกชื่อว่า การ์ดนอก (Point Guard)   เพราะเขาจะอยู่นอกพื้นที่กำหนดเวลา  นอกเส้นโค้งของวงกลมการโยนโทษ  ผู้เล่นคนนี้มีความเร็วและมีทักษะการครอบครองลูกบอลสูงมาก  การ์ดอีกคนหนึ่งจะอยู่ในตำแหน่งใกล้เขตกำหนดเวลาและอยู่ด้านซ้ายหรือขวามือก็ได้  โดยมีหน้าที่คือ  เป็นการ์ดที่ยิงประตู (Shooting Guard) หรือการ์ดใน เพราะอยู่ใกล้ห่วงประตูและมีความสามารถในการยิงประตู  จึงอาจจะยิงประตูหรือส่งลูกบอลต่อให้ปีกหรือเซ็นเตอร์ก็ได้
                2.  ปีก (Forward)  มีผู้เล่นตำแหน่งนี้ 2 คน ซึ่งปกติจะมีลักษณะและขนาดรูปร่างสูงใหญ่  พร้อมความสามารถในการยิงประตูและการรีบาวด์  หรือส่งลูกบอลได้ดี
                     ปกติจะยืนในตำแหน่งโพสท์ (Post)  คู่หรือตรงกันข้ามกับเซ็นเตอร์หนึ่งคน  ส่วนอีกคนหนึ่งจะยืนใกล้การ์ดในหรืออยู่ตรงกันข้ามกับการ์ดในและเซ็นเตอร์
                      หน้าที่หลัก  คือ  การยิงประตูและการรีบาวด์คู่กับเซ็นเตอร์  บางกรณีอาจจะทำการกำบังให้การ์ดในหรือเซ็นเตอร์ก็ได้

                3.  เซ็นเตอร์ (Center)  ตำแหน่งนี้จะเป็นผู้เล่นที่สูงและรูปร่างใหญ่ มีน้ำหนักตัวมากลักษณะพิเศษ
คือยิงประตูระยะใกล้ได้ดี  กระโดดเพื่อรีบาวด์ได้ดีและทำงานร่วมกับปีกและการ์ดในได้ดี
                  ปกติจะยืนใกล้ห่วงประตู(Low Post)ทางด้านใดด้านหนึ่งโดยมีปีกยืนคู่หรือตรงกันข้ามหรือปีกยืนในตำแหน่งห่างออกไปแต่ใกล้เขตกำหนดเวลา (High/Medium Post)เพื่อช่วยเซ็นเตอร์ในการรุก  ฉะนั้นเซ็นเตอร์จึงต้องทำหน้าที่ในการยิงประตูระยะใกล้และรีบาวด์   หรือรุกร่วมกับปีก

          หลักการเป็นผู้เล่นฝ่ายรุก
            เสกสรร ห้วยอำพัน, ศิริวรรณ สังขพันธุ์, และยุทธนา วงศ์วิรัติ (2532 : 111)   ได้สรุปหลักการเป็นผู้เล่นฝ่ายรุกไว้ดังนี้
            1.  ผู้เล่นทุกคนควรรู้กติกาการเล่นบาสเกตบอลเป็นอย่างดี
            2.  พยายามหาที่ว่างให้ตนเองหลุดพ้นจากการติดตาม  หรือการควบคุมของฝ่ายตรงข้าม
            3.  รู้จักฉวยโอกาสการเล่นทุกคนเมื่อเริ่มเล่นเกมเร็ว  ต้องรู้หน้าที่ของตนเองว่าจะเล่นอย่างไร
            4.  รู้จักรอโอกาสการเล่น  คือ  สามารถเล่นเกมให้ช้าลงได้เพื่อรอจังหวะในการเล่นเกมต่อไป
            5.  ผู้เล่นทุกคนต้องระลึกเสมอว่า  ทุกคนในทีมมีความสามารถทัดเทียมกัน  ที่จะให้เพื่อนร่วมทีมเล่น
ลูกบอลเพื่อเปิดโอกาส  และขณะเดียวกันต้องใช้โอกาสให้เหมาะสมกับความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นแต่ละคน เช่น
ควรส่งลูกบอลให้คนที่มีโอกาสทำประตูมากที่สุด
            6.  ขณะที่จะทำการยิงประตูทุกครั้งต้องมีความมั่นใจในการทำประตูว่า  การยิงประตูทุกครั้งลูกต้องลงห่วง
ประตู  และพร้อมที่จะติดตามลูกบอล (Rebound)  เมื่อลูกบอลไม่ลงห่วง
            7.  ศึกษาจุดอ่อนของฝ่ายป้องกันเพื่อหาโอกาสเข้าทำประตู  และเปลี่ยนเกมการเล่นเมื่อฝ่ายตรงข้ามจับ
ทิศทางการเล่นได้
            8.  ทุกคนต้องพร้อมที่จะเล่นลูกบอลตลอดเวลา
            9.  มีความมั่นใจในการลงเล่นหรือลงแข่งขันทุกครั้ง
           10.  ควรได้รับการฝึกหัดการรุกแบบต่างๆ อย่างดีและสม่ำเสมอ
 
Different Themes
Written by Lovely

Aenean quis feugiat elit. Quisque ultricies sollicitudin ante ut venenatis. Nulla dapibus placerat faucibus. Aenean quis leo non neque ultrices scelerisque. Nullam nec vulputate velit. Etiam fermentum turpis at magna tristique interdum.

0 ความคิดเห็น