Open top menu
วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558
   รูปแบบการรุก


             1.  การรุกแบบแบ่งเขต (Zone  Defense)
                    การรุกเมื่อฝ่ายป้องกันตั้งป้อมรับ  เป็นเรื่องที่ผู้เล่นและผู้ฝึกจะต้องทำความเข้าใจให้ดี เพราะในสถานการณ์การเล่นการแข่งขันย่อมเปลี่ยนแปลงไปได้ทุกขณะ  ซึ่งขึ้นอยู่กับวิธีการแก้เกมของฝ่ายป้องกันที่จะพยายามป้องกันฝ่ายรุกไม่ให้ทำประตูได้โดยง่าย  ฝ่ายรุกมักจะพบอยู่เสมอว่า  ฝ่ายป้องกันที่มีรูปร่างสูงใหญ่และเข้าแย่งลูกบอลหลังจากการยิงประตูได้ดี มักจะใช้วิธีการป้องกันแบบแบ่งเขตหรือแบบตั้งป้อม (Zone Defense) (เสกสรร ห้วยอำพัน, ศิริวรรณ สังขพันธุ์, และยุทธนา วงศ์วิรัติ, 2532 : 102)
                  เมื่อทีมถูกป้องกันแบบแบ่งเขตก็สามารถรุกแบบแบ่งเขตได้  ในการตั้งรับแบบแบ่งเขตจะต้องใช้เวลาพอสมควร ฉะนั้นถ้าฝ่ายรุกเร่งการรุกเร็วกว่าก็สามารถทำคะแนนได้ก่อนที่การป้องกันจะ ตั้งรับทันท่วงที (สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ, 2548 : 112)
                  ผู้เล่นที่จะรับลูกบอลในตำแหน่งของเขตที่ตนยืนนั้นจะต้องเคลื่อนที่เข้ารับการส่งแทนที่จะยืนรอลูกบอลเพราะอาจจะถูกฝ่ายป้องกันฉวยโอกาสตัดลูกบอลได้
                    จุดมุ่งหมายของการรุกแบบแบ่งเขตก็เพื่อจัดรูปแบบการส่งลูกบอลให้เป็นรูปสามเหลี่ยมเพื่อไม่ให้ถูกตัดเพื่อแย่งลูกบอล

          หลักในการรุกเมื่อฝ่ายป้องกันตั้งรับแบบแบ่งเขต
           เสกสรร ห้วยอำพัน, ศิริวรรณ สังขพันธุ์, และยุทธนา วงศ์วิรัติ, 2532 : 104) ได้สรุปไว้ว่า
           1.  ต้องแน่ใจว่าฝ่ายป้องกันตั้งรับแบบแบ่งเขต  เราจึงเล่นแผนการรุกแบบแบ่งเขต         
           2.  พิจารณาให้แน่ใจว่าการตั้งรับแบบแบ่งเขตของคู่ต่อสู้เป็นแบบใด
           3.  มาหาจุดอ่อนของฝ่ายป้องกันว่าอยู่ตรงไหน
           4.  วางจุดของผู้เล่นฝ่ายรุกตามรูปแบบของแผนการเล่น
           5.  ต้องเคลื่อนที่ตลอดเวลาและพยายามสร้างสถานการณ์ให้ฝ่ายป้องกัน 2 คน  ป้องกันเราคนเดียวเพื่อเปิดช่องว่างให้เพื่อนรวมทีมเข้ายิงประตู
           6.  วิธีการรุกเมื่อฝ่ายรับตั้งรับแบบแบ่งเขตวิธีที่ดีที่สุดคือ การเล่นเร็วหรือลักไก่ (Fast  Break)  ก่อนที่ฝ่ายรับจะตั้งรับทัน
           7.  พยายามส่งลูกบอลให้มากๆ  พยายามทำให้ฝ่ายป้องกันเสียขบวนให้ได้
           8.  ต้องใจเย็น  สุขุม  เมื่อขึ้นยิงประตูต้องแน่ใจว่าจะต้องได้ประตูอย่างแน่นอน อย่าใจร้อนรีบยิงประตูในระยะไกลเสียก่อน
Read more
การฝึกการเล่นบาสเกตบอล


            กรมพลศึกษา (2543 : 15)  ได้แนะนำว่า  การฝึกบาสเกตบอลสำหรับผู้เล่นใหม่ๆ นั้น  ต้องเริ่มจากขั้นเบาๆ ไปหาหนัก  หรือจากง่ายไปหายาก  เพื่อให้สามารถเล่นเป็นทีมได้เป็นอย่างดี  การฝึกขั้นพื้นฐานมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักกีฬาที่ปรารถนาจะเป็นนักกีฬาที่มีความสามารถในการเล่นและ ยังต้องมีความอุตสาหะ ความพยายาม และความอดทนเป็นพื้นฐานพร้อมที่จะรับการฝึกเป็นขั้นๆไปตามลำดับด้วยความ ตั้งใจมั่นอย่างแท้จริง  การฝึกจะก่อให้เกิดประโยชน์โดยสมบูรณ์  ซึ่งมีลำดับการฝึกอยู่ 3 ขั้น  คือ
          1.  การฝึกเบื้องต้น
                 เป็นการฝึกโดยการวางรากฐานที่ถูกต้องและดีงามให้กับนักกีฬา  ในการที่จะเพิ่มความฉลาด  ความสามารถในการเล่นให้ดียิ่งๆ ขึ้น  ขั้นการฝึกมี 3 ขั้น  คือ    
                 1.1  การเตรียมตัวก่อนการเล่น (Warm Up)  เพื่อให้เกิดความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจก่อนการเล่นหรือการฝึก
                 1.2  การฝึกเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับลูกบาสเกตบอล
                 1.3  การฝึกความคล่องตัวในการเล่นบอล
          2.  การฝึกความสามารถเฉพาะบุคคล
                 เป็นการฝึกเพิ่มขีดความสามารถขั้นที่ 2 ของนักกีฬาต่อจากการฝึกเบื้องต้น เมื่อนักกีฬามีหลักพื้นฐานเกี่ยวกับการฝึกเบื้องต้นแล้ว  จำเป็นต้องฝึกให้เกิดความชำนาญในท่าการฝึกนั้นๆ ยิ่งขึ้นไป  เพื่อจะได้เป็นความสามารถเฉพาะตัวอย่างแท้จริงของนักกีฬาสืบไป  และการฝึกความสามารถเฉพาะตัวบุคคลนั้น  พอจะสรุปเป็นหัวข้อการฝึกได้ดังนี้
                 2.1  การเคลื่อนตัวเพื่อเล่นลูกบอล  การหลอกล่อ  การสกรีน
                 2.2  การส่งลูก 
                 2.3  การเลี้ยงบอล ช้า - เร็ว
                 2.4  การยิงประตูแบบต่างๆ  ระยะใกล้ - ไกล
                 2.5  การรับลูกลักไก่
                 2.6  การสกัดกั้นแบบต่างๆ
                 2.7  การรุก
                 2.8  การป้องกัน
          3.  การฝึกเป็นทีม
                เป็นขั้นสุดท้ายของการฝึกนักกีฬาบาสเกตบอล  ซึ่งจะต้องฝึกหลังจากการฝึกเบื้องต้น  และฝึกความสามารถเฉพาะตัวบุคคลมาแล้ว  เพราะถ้าข้ามมาฝึกเป็นทีมเลยทีเดียว  ผลเสียจะเกิดกับนักกีฬาเป็นอย่างมาก เพราะนักกีฬาไม่รู้จักการเล่นวิธีต่างๆ มาก่อน 
Read more
การคัดเลือกนักบาสเกตบอล



             บัณฑิต หาญธงชัย (2544 : 232–233) ได้แนะนำว่า การออกกำลังกายและการเล่นกีฬา  โดยเฉพาะกีฬาประเภททีม  นักกีฬาจะมีรูปร่างต่างกัน  กีฬาบาสเกตบอลเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยการพาลูกบาสเกตบอลเข้าไปยิงประตูที่อยู่สูงจากพื้น  ดังนั้นรูปร่างของนักบาสเกตบอลจะต้องเป็นผู้ที่มีขนาดสูงใหญ่ 
             การคัดเลือกนักบาสเกตบอลทุกตำแหน่ง  ถ้าได้ผู้เล่นมีรูปร่างสูงใหญ่และมีความสามารถก็ย่อมได้เปรียบดังนั้น ตำแหน่งผู้เล่นกีฬาบาสเกตบอลจะต้องมีการคัดเลือกให้เหมาะสมกับตำแหน่งและรูปร่าง  ซึ่งได้กล่าวถึงการคัดเลือกตัวนักบาสเกตบอลว่ามีวิธีการคัดเลือก 3 วิธี คือ การคัดเลือกตัวโดยคำนึงถึงรูปร่างและตำแหน่ง การคัดเลือกตัวตามทักษะและการคัดเลือกตัวทางจิตวิทยา
             ก.  การคัดเลือกตัวโดยคำนึงถึงรูปร่าง ตำแหน่ง เป็นเกณฑ์
                     การคัดเลือกตัวตามวิธีนี้จะพิจารณารูปร่างของผู้เล่นแต่ละตำแหน่ง ดังนี้
                        1) การ์ด 1 รูปร่างเล็ก มีความคล่องตัวสูง เป็นผู้ส่งลูกในการกำหนดเกมรุก
                        2) การ์ด 2 รูปร่างสูง มีน้ำหนักตัวมาก และมีความสามารถลำเลียงบอลขึ้นไปด้วยแย่งลูกบอลได้ดี
                        3) ปีก 1 รูปร่างเล็ก ผอม สูงไม่มาก มีความเร็วสูง และมีความสามารถในการยิงประตูสูง มีการตัดสินใจที่ดี
                        4) ปีก 2 มีความสูง มีน้ำหนักตัว สามารถแย่งบอลภายหลังจากยิงประตูมีความสามารถในการกระโดดยิงและยืนยิงประตู
                        5)  เซ็นเตอร์  มีความสูง มีน้ำหนักตัวมาก
             ข.  การคัดเลือกตัวตามทักษะความสามารถ
                        1)  มีทักษะในการยิงประตู
                        2)  มีการเลี้ยงลูก ส่งลูก การรับลูกได้ดี
                        3)  มีการกระโดดแย่งลูกได้ดี
                        4)  มีการหยุด การวิ่ง หมุนตัว เปลี่ยนทิศทางที่ดี
                        5)  มีการป้องกันที่ดี
             ค.  การคัดเลือกตัวทางด้านจิตวิทยา
                        1)  ต้องมีความปรารถนาต้องการเข้าร่วมการแข่งขัน
                        2)  ต้องมีการเสียสละ อุทิศเวลาให้กับกีฬา
                        3)  ต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเอง      
                        4)  ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง เพื่อน ผู้ฝึก มีน้ำใจนักกีฬา
Read more
การเล่นเป็นทีม



ตำแหน่งและหน้าที่ของผู้เล่น
                       หัวใจของการเล่นบาสเกตบอลคือการเล่นเป็นทีมและการประสานความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นเข้าด้วยกันได้อย่างสอดคล้องลงตัว  การเล่นบาสเกตบอลจะแบ่งผู้เล่นเป็น 2 ทีม ทีมที่ครอบครองลูกและพยายามนำลูกไปยิงประตู เรียกว่า  “ฝ่ายบุก”  หรือ “ฝ่ายรุก”  ส่วนทีมที่พยายามป้องกันไม่ให้ฝ่ายรุกยิงประตู เรียกว่า “ฝ่ายป้องกัน” หรือ“ฝ่ายรับ”  ซึ่งในการแข่งขันทั้งสองฝ่ายมักจะผลัดกันเป็นฝ่ายรับและฝ่ายรุก  แต่ละฝ่ายจะมีผู้เล่นฝ่ายละ 5 คน ซึ่งเดิมมักจะระบุตำแหน่งและหน้าที่การเล่นกันอย่างชัดเจน  ปัจจุบันรูปแบบการเล่นได้เปลี่ยนแปลงไปมาก  ผู้เล่นแต่ละคนต้องเล่นได้ในทุกตำแหน่ง  เมื่อเป็นฝ่ายรุกผู้เล่นทุกคนจะทำหน้าที่กองหน้าร่วมกันทำคะแนน  และเมื่อเป็นฝ่ายรับ ผู้เล่นทุกคนก็จะเป็นการ์ดร่วมกันป้องกันการทำคะแนนของฝ่ายตรงข้าม  ตำแหน่งโดยทั่วไปแบ่งได้ดังนี้ (พิษณุ พิพัฒน์วงศ์, 2544 : 72-73)

          1.  ผู้เล่นกองหลัง (Guard) ประกอบด้วยผู้เล่นในตำแหน่งการ์ดซ้ายและการ์ดขวา เล่นกันอยู่คนละซีกของสนาม  คอยป้องกัน  รบกวนไม่ให้คู่ต่อสู้เข้าทำประตูใต้แป้นได้ หรือกันไม่ให้ยิงลูกระยะไกลได้สะดวก ปัจจุบันมักแยกเป็นตำแหน่ง Point Guard หรือการ์ดที่ทำหน้าที่จ่ายลูก  ต้องมีทักษะในการจับ  การส่งลูกอ่านเกมทั่วทั้งสนามได้ดีมักจะเป็นหัวหน้าทีมอีกคนหนึ่งจะทำหน้าที Shooting Guard  หรือการ์ดที่ทำหน้าที่ทำคะแนน

            2.  ผู้เล่นกองกลาง (Center)  เป็นตัวเชื่อมเกมระหว่างกองหน้าและกองหลัง ทำหน้าที่ทั้งระวังคู่ต่อสู้ในเกมรับและคอยหนุนบอลและหาโอกาสทำประตูในเกมรุก ปกติจะมีเพียงคนเดียว  แต่ในบางแผนการเล่นอาจจะเปลี่ยนผู้เล่นในตำแหน่งอื่นให้มาเสริมในตำแหน่งกองกลางเพิ่มขึ้นก็ได้  มักจะเป็นผู้เล่นที่สูงที่สุดในทีมเป็นตัวหลักของทีม  ทำคะแนนได้ในเกมรุกและสามารถป้องกันการทำคะแนนจากฝ่ายตรงข้ามได้ในเกมรับ

          3.  ผู้เล่นกองหน้า (Forward)  ประกอบด้วยผู้เล่นที่เล่นอยู่ทางซีกซ้ายของสนามที่เรียกว่า  ปีกซ้าย และผู้เล่นที่เล่นอยู่ทางซีกขวาของสนามที่เรียกว่า ปีกขวา  อาจวิ่งสลับข้างกัน หรืออาจจะลงมาเล่นเป็นกองกลางหรือกองหลังก็ได้ตามแต่แผนการเล่นที่วางไว้หรือการหมุน  แทนตำแหน่งกันในการเล่น  ปัจจุบันมักแยกเป็น Small Forward หรือปีกตัวเล็ก เป็นตัวยิงประตูได้ทั้งระยะใกล้และระยะไกล ส่งลูกบอลได้แม่นยำ มีความสามารถโดดเด่นในการแย่งลูกกระดอนจากแป้น  ที่เรียกกันว่าลูก Rebound   อีกคนหนึ่งเรียกว่า Power Forward หรือปีกใน มักจะเป็นผู้เล่นที่ตัวใหญ่  แข็งแกร่ง  เด่นในเกมรับ  และแย่งลูกที่กระดอนจากแป้น
Read more
ทักษะการรุก



ความหมายของการรุก
              สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ (2548 : 110)  ได้ให้ความหมายว่า  การรุก  คือ  การจู่โจมหรือการเข้ากระทำเพื่อทำคะแนน  ซึ่งเริ่มต้นจากการเคลื่อนที่พร้อมลูกบอลไปยังพื้นที่หรือตำแหน่งที่จะยิงประตูและทำคะแนนได้ดีที่สุด

หลักการของการรุก
               โค้ชต้องสอนให้ผู้เล่นเต็มใจและทุ่มเทอย่างรุกเร้าและก้าวร้าวเมื่อเป็นฝ่ายรุก  ทั้งนี้หมายความว่าต้องรุกอย่างเต็มที่และไม่หยุดชะงัก   การรุกเช่นนี้อาจจะเกิดการฟาวล์แต่ฝ่ายป้องกันก็ต้องฟาวล์ฝ่ายรุกเช่นกันเพื่อไม่ให้ทำคะแนนซึ่งจะชดเชยกันได้  การรุกอย่างทุ่มเทย่อมสูญเสียการครองครองลูกบอลน้อยลงและยังรีบาวด์ได้มากด้วย  (สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ, 2548: 110)

 ปัจจัยสำคัญของการรุก 
              
ผู้เล่นฝ่ายใดประกอบด้วยผู้เล่นที่มีความสามารถเฉพาะตัวสูงในเรื่องต่อไปนี้ย่อมได้เปรียบคือ(เสกสรร ห้วยอำพัน, ศิริวรรณ สังขพันธุ์, และยุทธนา วงศ์วิรัติ, 2532 : 10-13)
                1.  การยิงประตูที่แม่นยำ
                2.  การส่งลูกที่แม่นยำ และได้ผล
                3.  การเลี้ยงลูกบอลที่คล่องแคล่ว
                4.  การเคลื่อนที่ที่มีประสิทธิภาพ
                5.  การหลอกล่อที่มีผล
                6.  การรับลูกที่แน่นอน
                7.  การกำบังคู่ต่อสู้ที่เป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ  ผู้เล่นชุดดังกล่าวย่อมมีโอกาสได้เป็นฝ่ายรุกเสมอ   หากได้มีการฝึกซ้อมที่ดีและมีแผนการรุกหลายรูปแบบก็ย่อมจะเป็นฝ่ายที่ชัยเสมอ

ปัจจัยสำคัญของฝ่ายรุกที่ผู้ฝึกจำเป็นจะต้องทราบ คือ
                1.  การเคลื่อนที่ของลูกบอล
                2.  การเคลื่อนที่ของผู้เล่น
                3.  การรับลูกบอลเพื่อหาจังหวะเข้ายิงประตู
                4.  การกระโดดขึ้นรับลูกบอลที่จะกระดอนจากแป้นแล้วยิงประตู  หรือส่งต่อโดยที่ไม่ต้องลงสู่พื้น
                5.  การรักษาพื้นที่ให้สมดุล
                6.  การรุกแบบมีผู้ป้องกันตัวต่อตัว
การเคลื่อนที่ของลูกบอล
              เมื่อฝ่ายรับเปิดโอกาสให้เราเป็นฝ่ายรุก  ผู้เล่นทุกคนจะต้องรีบเล่นทันทีและส่งลูกให้ลื่นไหล ตลอดเวลาไม่ทำให้การเล่นเกิดการสะดุด  คือ  ไม่พยายามครอบครองลูกบอลไว้ด้วยใครคนใดคนหนึ่งนานเกินควร เพราะจะเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายรับตั้งหลักป้องกันได้การส่งลูกกลับไปกลับมาระหว่างผู้เล่นสองคนก็จะเปิดโอกาสให้ฝ่ายรับเข้าแย่งลูกได้โดยง่ายจึงไม่ควรกระทำ 

ยุทธวิธีการรุก  
              มีตัวอย่างยุทธวิธีการรุกที่นิยมใช้กัน  เช่น
            1.  การประสานงานใต้แป้น  ใช้ในการรุกเร็วใต้แป้นประสานงานการับ - ส่ง อย่างสัมพันธ์กัน  ผู้ครอบครองลูกบอลหรือกำลังเลี้ยงลูกบอลอยู่แล้วส่งให้ฝ่ายเดียวกัน   โดยอาศัยการเคลื่อนที่เปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ผสมการหลอกล่อให้ฝ่ายป้องกันเสียหลัก  วิ่งเจาะเข้าใต้แป้นเพื่อทำประตู
            2.  การกำบัง  เป็นการรุกโดยเลือกโอกาสและตำแหน่งที่เหมาะสม ใช้เทคนิคและร่างกายขวางทิศทางการเคลื่อนที่ของฝ่ายรับ   คอยเคลื่อนที่หาจังหวะที่ฝ่ายตรงข้ามพลาดท่า   ส่งบอลให้กันในแบบ  Give and Go  คือ  ส่งบอลให้เพื่อนแล้ววิ่งไปรับต่อในเขตใกล้ห่วงเพื่อยิงประตูหรือเปิดโอกาส ให้เพื่อนร่วมทีมเจาะเข้ายิงประตู

ทักษะการรุก

                 เสกสรร ห้วยอำพัน, ศิริวรรณ สังขพันธุ์, และยุทธนา วงศ์วิรัติ (2532 : 99)  การเล่นกีฬาบาสเกตบอล
ก็เหมือนกับกีฬาประเภททีมอื่นๆ ทั่วไป  ที่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ของผู้เล่นในทีมเพื่อให้การเล่นดำเนินไปได้อย่างดี กีฬาบาสเกตบอลมีจุดมุ่งหมายการเล่นเพื่อนำลูกบอลไปโยนหรือยิงประตูให้ลูกบอล ลงห่วงประตูของฝ่ายตรงกันข้าม
  
                 ในทันทีที่ลูกบอลตกไปอยู่ในมือของฝ่ายใด ฝ่ายนั้นก็จะมีสถานะเป็นฝ่ายรุกและเริ่มใช้กลยุทธ์ในการ
นำลูกเข้ายิงประตูเพื่อทำคะแนนเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง  โดยผสมด้วยทักษะของการรับ การส่ง  การเลี้ยง  การหลอกล่อ การ
หลบหลีก  การยิงประตู  และการกระโดดแย่งลูกบอล ในขณะเดียวกันนี้เองฝ่ายป้องกันซึ่งไม่มีลูกบอลอยู่ในมือก็พยา
ยามใช้ความสามารถป้องกันด้วยกลวิธีต่างๆ รวมทั้งเข้าแย่งลูกบอลมาเป็นของตนบ้างเช่นกัน

                 สมัยก่อนการเล่นบาสเกตบอลมักนิยมแบ่งตำแหน่งหน้าที่ออกเป็น 5 ตำแหน่ง  คือ ศูนย์กลาง 1 คน   การ์ด 2 คน (ซ้ายและขวา) และหน้า 2 คน (ซ้ายและขวา) แต่ปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับก็ตาม ผู้เล่นแต่
ละคนต้องสามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งหน้าที่  ดังนั้นเมื่อเป็นฝ่ายรุก ทั้ง 5 คน ก็จะเป็น  “หน้าทั้งหมด”  แต่ถ้าตกเป็น
ฝ่ายรับ ทั้ง 5 คน ก็จะเป็น  “การ์ด”  ทั้งหมด  ทีมใดที่มีโอกาสครอบครองลูกบอลและยิงประตูมากที่สุดมักจะเป็นทีมที่
ประสบชัยชนะในการแข่งขัน


          ตำแหน่งและหน้าที่ของผู้เล่นที่เป็นฝ่ายรุก
        
        สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ (2548 : 110-111)   ได้แบ่งตำแหน่งและหน้าที่ไว้ดังนี้ 
ผู้เล่น 5 คน  เมื่อรุกจะแบ่งตำแหน่งดังนี้
                1.  การ์ด (Guard)  มี 2 คน  คือ  การ์ดที่จ่าย (ส่ง) ลูกบอลให้ผู้เล่นที่อยู่ในตำแหน่งได้เปรียบเพื่อทำคะแนน  เรียกชื่อว่า การ์ดนอก (Point Guard)   เพราะเขาจะอยู่นอกพื้นที่กำหนดเวลา  นอกเส้นโค้งของวงกลมการโยนโทษ  ผู้เล่นคนนี้มีความเร็วและมีทักษะการครอบครองลูกบอลสูงมาก  การ์ดอีกคนหนึ่งจะอยู่ในตำแหน่งใกล้เขตกำหนดเวลาและอยู่ด้านซ้ายหรือขวามือก็ได้  โดยมีหน้าที่คือ  เป็นการ์ดที่ยิงประตู (Shooting Guard) หรือการ์ดใน เพราะอยู่ใกล้ห่วงประตูและมีความสามารถในการยิงประตู  จึงอาจจะยิงประตูหรือส่งลูกบอลต่อให้ปีกหรือเซ็นเตอร์ก็ได้
                2.  ปีก (Forward)  มีผู้เล่นตำแหน่งนี้ 2 คน ซึ่งปกติจะมีลักษณะและขนาดรูปร่างสูงใหญ่  พร้อมความสามารถในการยิงประตูและการรีบาวด์  หรือส่งลูกบอลได้ดี
                     ปกติจะยืนในตำแหน่งโพสท์ (Post)  คู่หรือตรงกันข้ามกับเซ็นเตอร์หนึ่งคน  ส่วนอีกคนหนึ่งจะยืนใกล้การ์ดในหรืออยู่ตรงกันข้ามกับการ์ดในและเซ็นเตอร์
                      หน้าที่หลัก  คือ  การยิงประตูและการรีบาวด์คู่กับเซ็นเตอร์  บางกรณีอาจจะทำการกำบังให้การ์ดในหรือเซ็นเตอร์ก็ได้

                3.  เซ็นเตอร์ (Center)  ตำแหน่งนี้จะเป็นผู้เล่นที่สูงและรูปร่างใหญ่ มีน้ำหนักตัวมากลักษณะพิเศษ
คือยิงประตูระยะใกล้ได้ดี  กระโดดเพื่อรีบาวด์ได้ดีและทำงานร่วมกับปีกและการ์ดในได้ดี
                  ปกติจะยืนใกล้ห่วงประตู(Low Post)ทางด้านใดด้านหนึ่งโดยมีปีกยืนคู่หรือตรงกันข้ามหรือปีกยืนในตำแหน่งห่างออกไปแต่ใกล้เขตกำหนดเวลา (High/Medium Post)เพื่อช่วยเซ็นเตอร์ในการรุก  ฉะนั้นเซ็นเตอร์จึงต้องทำหน้าที่ในการยิงประตูระยะใกล้และรีบาวด์   หรือรุกร่วมกับปีก

          หลักการเป็นผู้เล่นฝ่ายรุก
            เสกสรร ห้วยอำพัน, ศิริวรรณ สังขพันธุ์, และยุทธนา วงศ์วิรัติ (2532 : 111)   ได้สรุปหลักการเป็นผู้เล่นฝ่ายรุกไว้ดังนี้
            1.  ผู้เล่นทุกคนควรรู้กติกาการเล่นบาสเกตบอลเป็นอย่างดี
            2.  พยายามหาที่ว่างให้ตนเองหลุดพ้นจากการติดตาม  หรือการควบคุมของฝ่ายตรงข้าม
            3.  รู้จักฉวยโอกาสการเล่นทุกคนเมื่อเริ่มเล่นเกมเร็ว  ต้องรู้หน้าที่ของตนเองว่าจะเล่นอย่างไร
            4.  รู้จักรอโอกาสการเล่น  คือ  สามารถเล่นเกมให้ช้าลงได้เพื่อรอจังหวะในการเล่นเกมต่อไป
            5.  ผู้เล่นทุกคนต้องระลึกเสมอว่า  ทุกคนในทีมมีความสามารถทัดเทียมกัน  ที่จะให้เพื่อนร่วมทีมเล่น
ลูกบอลเพื่อเปิดโอกาส  และขณะเดียวกันต้องใช้โอกาสให้เหมาะสมกับความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นแต่ละคน เช่น
ควรส่งลูกบอลให้คนที่มีโอกาสทำประตูมากที่สุด
            6.  ขณะที่จะทำการยิงประตูทุกครั้งต้องมีความมั่นใจในการทำประตูว่า  การยิงประตูทุกครั้งลูกต้องลงห่วง
ประตู  และพร้อมที่จะติดตามลูกบอล (Rebound)  เมื่อลูกบอลไม่ลงห่วง
            7.  ศึกษาจุดอ่อนของฝ่ายป้องกันเพื่อหาโอกาสเข้าทำประตู  และเปลี่ยนเกมการเล่นเมื่อฝ่ายตรงข้ามจับ
ทิศทางการเล่นได้
            8.  ทุกคนต้องพร้อมที่จะเล่นลูกบอลตลอดเวลา
            9.  มีความมั่นใจในการลงเล่นหรือลงแข่งขันทุกครั้ง
           10.  ควรได้รับการฝึกหัดการรุกแบบต่างๆ อย่างดีและสม่ำเสมอ
 
Read more
การทรงตัว


กีฬาบาสเกตบอลเป็นกีฬาที่ต้องใช้การเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว  อีกทั้งมีทักษะเบื้องต้นหลายอย่าง ได้แก่
การวิ่ง  การถอยหลังการกระโดด การหมุนตัว การเลี้ยงลูก การส่ง – รับ ลูกบาสเกตบอล  เป็นต้น การเคลื่อนที่ และการปฏิบัติทักษะนั้นการทรงตัวที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรก เพราะการทรงตัวเป็นรากฐานเบื้องต้นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฝึกหัด  การเล่นบาสเกตบอลซึ่งผู้ฝึกหัดทุกคนโดยเฉพาะผู้ฝึกหัดใหม่จะต้องฝึกให้เกิด ความชำนาญ โดยเหตุที่การเล่นบาสเกตบอลมีการเคลื่อนที่ด้วยเท้าทั้งสองข้างตลอดเวลา  ทั้งขณะที่เป็นฝ่ายรุกและฝ่ายป้องกัน  ทั้งในขณะที่ครอบครองลูกบอลอยู่ในมือและขณะมือเปล่า การเคลื่อนที่ดังกล่าวมักจะต้องทำด้วยความรวดเร็ว  ว่องไว  และถูกต้องตามเทคนิค  ดังนั้นถ้าการทรงตัวไม่ดีย่อมเป็นอุปสรรคสำคัญต่อประสิทธิภาพการเคลื่อน ที่  จากเหตุผลดังกล่าวแล้วท่าของการทรงตัวและจังหวะการใช้เท้า (Footwork)  และการถ่ายน้ำหนักตัว (Center of  Gravity)  จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องศึกษาและฝึกหัดให้ชำนาญ

              เฉลี่ย พิมพันธุ์ (2537: 42-43)  ได้กล่าวถึงหลักสำคัญเกี่ยวกับการทรงตัวไว้ดังนี้
            1.  ยืนแยกเท้าห่างกันประมาณช่วงไหล่เป็นลักษณะที่ดีที่สุด
            2.  ให้น้ำหนักตัวเฉลี่ยที่เท้าทั้งสองข้าง  ค่อนไปทางปลายเท้า
            3.  เข่างอและโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
            4.  หน้ามองตรง
            5.  แขนกางออกเล็กน้อย
            6.  ยืนในลักษณะกล้ามเนื้อผ่อนคลาย

            ในบางครั้งการยืนทรงตัวอาจใช้เท้าใดเท้าหนึ่งอยู่หน้าก็ได้  ซึ่งเป็นท่าการทรงตัวในการยืนป้องกัน  แต่เท้าทั้งสองจะต้องอยู่ในลักษณะเตรียมพร้อมเพื่อจะเคลื่อนที่ต่อไป
Read more
การส่งลูกบาสเกตบอล



          การส่งแบบมือเดียวเหนือไหล่  (Base Ball Pass)    
                เฉลี่ย พิมพ์พันธุ์ (2537 : 74)  กล่าวถึง  การส่งลูกแบบมือเดียวเหนือไหล่ว่าเหมาะสำหรับการส่ง
ระยะไกล   มีลักษณะเป็นการขว้างด้วยมือเดียว โดยมืออีกข้างหนึ่งคอยประคองลูกบอลจนอยู่ในตำแหน่งพร้อมที่จะ
ส่งลูกไปยังเป้าหมาย การส่งลูกแบบมือเดียวเหนือไหล่ด้วยมือขวา  มีวิธีปฏิบัติดังนี้
                 1.  เริ่มจากท่ายืนทรงตัว
                 2  ยกลูกบอลขึ้นเหนือไหล่ขวาเอนตัวไปด้านหลังพร้อมลูกบอลใช้มือซ้ายช่วยประคอง
                 3  มือขวาจับด้านหลังลูกบอล  หงายข้อมือขึ้นเล็กน้อย
                 4  ตามองที่หมาย  ก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า  ปล่อยมือซ้าย  บิดข้อศอกและไหล่ขวากลับมาหาผู้รับ
ส่งลูกบอลด้วยมือขวา  เหยียดแขน  ตวัดข้อมือลง  และดีดส่งด้วยนิ้วมือ   เหยียดแขนตามลูกบอล
                หมายเหตุ   การส่งลูกแบบมือเดียวเหนือไหล่ด้วยมือซ้ายให้ปฏิบัติตรงข้ามกับมือขวา
Read more
อุปกรณ์ (Equiqment) ของกีฬาฟุตบอล




สำหรับรายละเอียดที่อธิบายถึงอุปกรณ์บาสเกตบอล ให้ดูในภาคผนวกเกี่ยวกับอุปกรณ์บาสเกตบอล
3.1 กระดานหลัง และสิ่งยึดกระดานหลัง (Backboards and backboard supports)
3.1.1 กระดานหลังที่สร้างขึ้นต้องทำด้วยวัสดุโปร่งใส (เลือกใช้กระจกนิรภัย) แผ่นเดียวกันตลอด ถ้าทำด้วยวัสดุอื่นที่ไม่
โปร่งใสจะต้องทาพื้นสีขาว

3.1.2 ขนาดความกว้าง ยาว และหนาของกระดานหลังตามแนวนอนจะเป็น 1.80 เมตร และตามแนวตั้ง 1.50 เมตร

3.1.3 เส้นทุกเส้นบนกระดานหลังจะต้องเขียนดังต่อไปนี้
- เป็นสีขาว ถ้ากระดานเป็นวัตถุโปร่งใส
- เป็นสีดำ ถ้ากระดานหลังเป็นวัสดุอื่น
- เส้นมีขนาดกว้าง 5 เซนติเมตร
เพิ่มเติม หน้ากระดานเหนือห่วงให้เขียนดังนี้
       เขียนรูปสี่เหลี่ยมมุมมฉากด้วยเส้นกว้าง 5 ซ.ม ตรงหลังห่วงประตู วัดริมนอกด้านขวางยาว 59 ซ.ม และด้านตั้งยาว 45 ซ.ม
ริมบนสุดของเส้นด้านฐานอยู่ในระดับเดียวกับขอบห่วง

3.1.4 พื้นผิวหน้าของกระดานหลังจะต้องเรียบ

3.1.5 กระดานหลังต้องติดยึดอย่างมั่นคง
- ที่เส้นหลังแต่ละด้านของสนามแข่งขัน โดยติดตั้งสิ่งยึดกระดานให้ตั้งฉากกับพื้น ขนานกับเส้นหลัง
- จุดกึ่งกลางของพื้นผิวด้านหน้าของกระดานหลัง ทิ้งดิ่งลงมายังพื้นสนามแข่งขัน จะสัมผัสจุดบนพื้น ซึ่งมีระยะห่าง
1.20 เมตร จากจุดกึ่งกลางของขอบในของเส้นหลังแต่ละเส้น

3.1.6 เบาะหุ้มกระดานหลัง

3.1.7 สิ่งยึดกระดานหลัง
- ด้านหน้าของสิ่งยึดกระดานหลังที่สร้างขึ้น (หุ้มเบาะตลอด) ต้องอยู่ห่างจากขอบของเส้นหลังอย่างน้อย 2 เมตร มีสีสดใส
แตกต่างจากพื้นหลัง เพื่อให้ผู้เล่นมองเห็นได้อย่างชัดเจน
- สิ่งยึดกระดานหลังต้องติดตั้งอย่างมั่นคงบนพื้นเพื่อป้องกันไม่ให้เคลื่อนที่เมื่อมีแรงกระแทรก
- สิ่งยึดกระด้านหลังที่อยู่ด้านหลังต้องหุ้มเบาะต่ำกว่าพื้นผิวของสิ่งยึดมีระยะห่างจากด้านหน้าของกระดานหลัง 1.20 เมตร
ความหนาของเบาะหุ้ม 5 เซนติเมตร และต้องมีคุณสมบัติเหมือนกับเบาะหุ้มกระดานหลัง
- สิ่งยึดกระดานหลังทั้งหมดต้องหุ้มเบาะเต็มพื้นที่ฐานของสิ่งยึดกระดานหลังสูงจากพื้นอย่างน้อย 2.15 เมตร บนสิ่งยึดด้าน
ข้างสนาม มีความหนาเบาะหุ้ม 10 เซนติเมตร

3.1.8 เบาะหุ้มกระดานหลังที่สร้างขึ้นจะป้องกันแขนมือจากการปัด


3.2 ห่วงประตู (Baskets)
ห่วงประตูต้องประกอบด้วย ห่วงและตาข่าย

3.2.1 ห่วง (The Rings) ต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
- วัสดุต้องเป็นเหล็กกล้าแข็ง เส้นผ่าศูนย์กลางวัดจากขอบในไม่น้อยกว่า 45 เซนติเมตร ทาด้วยสีส้ม
- โลหะที่ใช้ทำห่วงจะต้องมีเส้นผ่าศูนย์กลางวัดจากขอบในอย่างน้อย 16 เซนติเมตร และไม่เกิน 2.0 เซนติเมตรพร้อมด้วยที่ยึดตาข่าย
ด้านล่างสำหรับเกี่ยวตาข่ายในลักษณะป้องกันนิ้วมือไปเกี่ยวจากการปัดซึ่งเป็นการป้องกันการยิงประตู
- ตาข่ายจะผูกติดกับห่วงแต่ละด้านในตำแหน่งที่ต่างกัน 12 จุด มีระยะห่างเท่ากันรอบห่วง การผูกติดกันของตาข่ายจะต้อง
ไม่คมหรือมีช่องว่างที่นิ้วมือสามารถเขาไปเกี่ยวได้
- ห่วงจะต้องยึดติดกับโครงสร้างที่ยึดกระดานหลังโดยไม่ทำให้เกิดแรงส่งตรงไป ยังห่วงซึ่งไม่สามารถทำให้กระดานหลังสั่น
ด้วยตัวของมันเองดังนั้น จะไม่เป็นการปะทะโดยตรงของห่วงระหว่างสิ่งค้ำที่เป็นโลหะกับกระดานหลัง (กระจกหรือวัสดุโปร่งใสอื่น)
อย่างไรก็ตาม ช่องว่างจะต้องแคบพอเพื่อป้องกันนิ้วมือเข้าไปเกี่ยว
- ขอบบนสุดของห่วงแต่ละข้างจะต้องอยู่ในตำแหน่งตามแนวนอน สูง 3.05 เมตร จากพื้นสนามซึ่งกระดานหลังมีความสูง
เท่ากันทั้ง 2 ด้าน
- จุดที่ใกล้ที่สุดของขอบในของห่วงจะต้องห่าง 15 เซนติเมตร จากด้านหน้าของกระดานหลัง

3.2.2 ห่วงที่มีแรงอัด อาจจะใช้ในการแข่งขันได้

3.2.3 ตาข่าย (The nets) ต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
- เป็นด้ายสีขาว แขวนติดกับห่วงและมีความฝืดเพื่อทำให้ลูกบอลผ่านห่วงประตูช้ากว่าปกติ ตาข่ายต้องมีความยาวไม่น้อยกว่า
40 เซนติเมตร และไม่เกิน 45 เซนติเมตร
- ตาข่ายแต่ละข้างต้องมีห่วง 12 จุด สำหรับเกี่ยวติดกับห่วง
- ส่วนบนของตาข่ายต้องยืดหยุ่นได้เพื่อป้องกันสิ่งต่อไปนี้
- ตาข่ายเกี่ยวติดห่วง สะบัดขึ้นไปบนห่วงทำให้เกิดปัญหาตาข่ายเกี่ยวติดห่วง
- ลูกบอลค้างในตาข่ายหรือกระดอนออกจากตาข่าย

3.3 ลูกบาสเกตบอล (Basketballs)

3.3.1 ลูกบอล ต้องเป็นรูปทรงกลมและมีสีส้ม ซึ่งได้รับการรับรอง มี 8 ช่องกลีบ ตามแบบเดิม กรุและเย็บเชื่อต่อกัน

3.3.2 ผิวนอกต้องทำด้วยหนัง หนังที่เป็นสารสังเคราะห์ ยาง หรือวัสดุสารสังเคราะห์

3.3.3 ลูกบอลจะขยายตัวเมื่อสูบลมเข้าไป ถ้าปล่อยลงสู่พื้นสนามจากความสูงโดยประมาณ 1.80 เมตร วัดจากส่วนล่าง
ของลูกบอล ลูกบอลจะกระดอนขึ้นสูงวัดจากส่วนบนสุดจากของลูกบอลระหว่าง 1.20 เมตร ถึง 1.40 เมตร

3.3.4 ความกว้างของช่องกลีบที่เชื่อมต่อกันของลูกบอลต้องไม่มากกว่า 0.635 เซนติเมตร

3.3.5 ลูกบอลต้องมีเส้นรอบวงไม่น้อยกว่า 74.9 เซนติเมตร และไม่มากกว่า 78 เซนติเมตร (ลูกบอลเบอร์ 7) จะต้องมีน้ำหนัก
ไม่น้อยกว่า 567 กรัม และไม่มากกว่า 650 กรัม

3.3.6 ทีมเหย้า (The home team) ต้องเตรียมลูกบอลที่ใช้แล้วโดยได้รับการยินยอมจากผู้ตัดสินอย่างน้อย 2 ลูก ผู้ตัดสินต้อง
พิจารณาเลือกลูกบอลที่ถูกต้องเพียงลูกเดียว ถ้าลูกบอลทั้ง 2 ลูก (ing team) หรือเลือกลูกบอลที่ใช้ในการอบอุ่นร่างกายมา
ใช้แข่งขันก็ได้

3.4 อุปกรณ์เทคนิค (Technical equipment)
อุปกรณ์เทคนิคต่อไปนี้ต้องเตรียมโดยทีมเหย้าและต้องดำเนินการ โดยผู้ตัดสินและเจ้าหน้าที่โต๊ะ
3.4.1 นาฬิกาแข่งขันและนาฬิกาจับเวลา (Game clock and stopawtch)

3.4.1.1 นาฬิกาแข่งขันจะต้องใช้สำหรับช่วงการเล่นและช่วงพักการแข่งขัน และจะต้องติดตั้งให้ทุกคนที่เกี่ยวกับเกมการ
แข่งขันมองเห็นได้อย่างชัดเจน รวมถึงผู้ชมด้วย

3.4.1.2 นาฬิกาจับเวลา (ไม่ใช่นาฬิกาแข่งขัน) จะต้องใช้สำหรับการจับเวลานอก

3.4.1.3 ถ้านาฬิกาแข่งขันติดตั้งไว้ที่กึ่งกลางเหนือสนามแข่งขัน ต้องมีนาฬิกาแบบเดียวกันเพิ่มขึ้นมาแต่ละด้านของสนาม
ด้านหลัง สูงพอประมาณ สามารถที่จะให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเกมการแข่งขันมองเห็นได้อย่างชัดเจน รวมถึงผู้ชมด้วย
นาฬิกาแข่งขันที่เพิ่มนี้ จะต้องแสดงเวลาการแข่งขันที่เหลือ

3.4.2 เครื่องจับเวลา 24 วินาที (24 second device)

3.4.2.1 เครื่องจับเวลา 24 วินาที ต้องมีควบคุมเครื่องและแสดงสิ่งต่าง ๆ ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
- ตัวเลขระบบดิจิตอลแบบนับถอยหลังแสดงเวลาเป็นวินาที
- ไม่แสดงตัวเลขบนเครื่องจับเวลา 24 วินาที เมื่อไม่มีทีมใดครอบครองบอล
- ความสามารถในการหยุดและเดินนับถอยหลังอย่างต่อเนื่องเมื่อเครื่องจับเวลา 24 วินาที เดินเวลาต่อจากที่ได้หยุดเวลาไว้

3.4.2.2 เครื่องจับเวลา 24 วินาที ต้องติดตั้งดังต่อไปนี้
- มีเครื่องจับเวลา 24 วินาที 2 เครื่องตั้งอยู่ข้างบนเหนือกระดานหลังแต่ละข้าง มีระยะห่างระหว่าง 30 เซนติเมตร ถึง
50 เซนติเมตร
- มีเครื่องจับเวลา 24 วินาที 4 เครื่องให้ติดตั้งไว้ทั้ง 4 มุมของสนาม อยู่ห่างเส้นหลังแต่ละด้าน 2 เมตร
- มีเครื่องจับเวลา 24 วินาที 2 เครื่องให้ติดตั้งโดยการวางไว้ในแนวทแยงมุมตรงข้าม เครื่องหนึ่งวางทางด้านซ้ายของ
โต๊ะบันทึกคะแนน ซึ่งจะวางใกล้มุม เครื่องจับเวลา 24 วินาที ทั้ง 2 เครื่อง จะวางห่างจากเส้นแต่ละด้าน 2 เมตร และ
จากเส้นข้าง 2 เมตร

3.4.2.3 เครื่องจับเวลา 24 วินาที ทุกเครื่องจะต้องให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเกมการแข่งขันมองเห็นได้อย่างชัดเจนรวมถึงผู้ชมด้วย

3.4.3 สัญญาณเสียง (Signals) ต้องกำหนดสัญญาณเสียงอย่างน้อย 2 ชุด ซึ่งมีเสียงแตกต่างกันอย่างชัดเจน และมีเสียงดังมากพอ
- สัญญาณเสียงหนึ่งสำหรับผู้จับเวลาแข่งขันและผู้บันทึกคะแนน
สัญญาณเสียงของผู้จับเวลาแข่งขันต้องเป็นเสียงที่ดังอัตโนมัติเพื่อแจ้งการ สิ้นสุดเวลาการแข่งขันต้องเป็นเสียงที่ดังอัตโนมัต
ิเพื่อแจ้งการสิ้นสุดเวลาการแข่งขันสำหรับช่วงการเล่นหรือช่วงต่อเวลาพิเศษ สัญญาณเสียงของผู้บันทึกคะแนนและผู้จับเวลา
แข่งขันต้องควบคุมด้วยมือ เพื่อดำเนินการแจ้งให้ผู้ตัดสินทราบว่ามีการขอเวลานอก เปลี่ยนตัวและมีการต้องขออื่น ๆ เช่นหลัง
เวลาผ่านไป 50 วินาทีของการขอเวลานอก หรือสถานการณ์ข้อผิดพลาดที่แก้ไขได้
- อีกสัญญาณเสียงหนึ่งสำหรับผู้จับเวลา 24 วินาที ซึ่งสัญญาเสียงดังอัตโนมัติเพื่อแสดงการสิ้นสุดช่วงเวลาการเล่น 24 วินาที
สัญญาณเสียงทั้ง 2 ชุด ต้องมีเสียงดังมากพอที่จะได้ยินภายใต้เสียงรบกวน หรือปรับเสียงให้ดังมากพอกับสภาพสิ่งแวดล้อม

3.4.4 ป้ายคะแนน (Scoreboard)
ต้องเป็นป้ายคะแนนที่ติดตั้งให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเกมการแข่งขันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนรวมถึงผู้ชมด้วย
ป้ายคะแนนต้องแสดงรายละเอียดอย่างน้อยดังต่อไปนี้
- เวลาการแข่งขัน
- คะแนน
- จำนวนของช่วงการเล่นปัจจุบัน
- จำนวนของเวลานอก

3.4.5 ใบบันทึกคะแนน (Scoresheet)
ใบบันทึกคะแนนจะต้องได้รับการรับรองโดยคณะกรรมการเทคนิคโลกของสหพันธ์บาสเกตบอลนานาชาติซึ่งจะใช้สำหรับ
การแข่งขันระดับสำคัญของสหพันธ์บาสเกตบอลนานาชาติ

3.4.6 ป้ายแสดงการฟาล์วของผู้เล่น (Player foul markers)
ต้องจัดเตรียมป้ายแสดงการฟาว์ลของผู้เล่นสำหรับผู้บันทึกคะแนน ป้ายต้องเป็นสีขาวพร้อมตัวเลขขนาดความยาว 20 เซนติเมตร
และกว้าง 10 เซนติเมตร และมีตัวเลขตั้งแต่ 1 ถึง 5 (ตัวเลข 1 ถึง 4 เป็นสีดำ ตัวเลข 5 เป็นสีแดง)

3.4.7 อุปกรณ์แสดงการฟาล์วทีม (Team foul markers)
อุปกรณ์แสดงการฟาล์วทีมต้องเตรียมสำหรับผู้บันทึกคะแนน อุปกรณ์แสดงการฟาล์วต้องเป็นสีแดง กว้าง 20 เซนติเมตร
สูง 35 เซนติเมตร เป็นอย่างน้อย และติดตั้งบนโต๊ะผู้บันทึก ให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเกมการแข่งขันมองเห็นได้อย่างชัดเจน
รวมถึงผู้ชมด้วย อุปกรณ์ไฟฟ้าหรือเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ อาจจะใช้ได้โดยมีข้อแม้ว่าต้องมีสีที่เหมือนกัน และมีขนาด
ความกว้าง ยาวและหนาตามที่ ระบุไว้ข้างต้น

3.4.8 ป้ายแสดงจำนวนการฟาล์วทีม (Team foul indicator)
จะต้องมีป้ายที่เหมาะสมเพื่อแสดงตัวเลขจำนวนฟาล์วทีมถึงเลข 5 แสดงให้ทราบว่าทีมนั้นได้กระทำฟาล์วครบจำนวนที่จะต้อง
ถูกลงโทษ (กติกาข้อ 55 บทลงโทษของฟาล์วทีม)

3.4.9 เครื่องชี้ทิศทางการครอบครองบอลที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ หรือใช้งานด้วยมือ ซึ่งมองเห็นได้ชัดเจน

3.5 เครื่องอำนวยความสะดวก และอุปกรณ์สำหรับการแข่งขันระดับสำคัญของสหพันธ์บาสเกตบอลนานาชาติ
เครื่องอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ที่กล่าวถึงจะต้องเตรียมสำหรับการแข่งขันระดับสำคัญของสหพันธ์บาสเกตบอลนานาชาติ
เช่น การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ชิงแชมป์โลก ชาย หญิง เยาวชนชาย เยาวชนหญิง ยุวชนชายและยุวชนหญิง ชิงแชมป์ทวีป
ชายหญิง เยาวชนชายและเยาวชนหญิง เครื่องอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์สามารถใช้กับการแข่งขันระดับอื่นทั้งหมดได้

3.5.1 ผู้ชมทุกคนจะต้องนั่งห่างอย่างน้อย 5 เมตร จากขอบด้านนอกของเส้นเขตสนามแข่งขัน

3.5.2 พื้นสนามต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
- ทำด้วยไม้
- เส้นเขตสนาม กว้าง 5 เซนติเมตร
- เส้นเขตสนามรอบนอก กว้างอย่างน้อย 2 เมตรทาด้วยสีแตกต่างกันอย่างชัดเจน สีของเขตสนามรอบนอกควรจะเป็นสีเดียวกับ
วงกลมกลางและพื้นที่เขตกำหนด 3 วินาที

3.5.3 ต้องมีคนถูพื้นสนาม 4 คน โดย 2 คนทำหน้าที่แต่ละครึ่งของสนาม

3.5.4 กระดานหลังต้องทำด้วยกระจกนิรภัย

3.5.5 ผิวของลูกบอลต้องทำด้วยหนัง ฝ่ายจัดการแข่งขันต้องเตรียมลูกบอลอย่างน้อย 12 ลูก มีลักษณะและรายละเอียด
เหมือนกันสำหรับการฝึกซ้อมระหว่างการอบอุ่นร่างกาย

3.5.6 แสงสว่างเหนือสนามแข่งขันต้องมีความสว่างไม่น้อยกว่า 1,500 ลักซ์ ความสว่างนี้จะวัดเหนือพื้นสนามขึ้นไป 1.5 เมตร
แสงสว่างต้องตรงหลักเกณฑ์ในการถ่ายทอดโทรทัศน์

3.5.7 สนามแข่งขันต้องติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จำเป็นต้องมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากโต๊ะบันทึกคะแนน สนามแข่งขัน
ที่นั่งของทีม และทุกคนเกี่ยวข้องกับเกมการแข่งขัน รวมทั้งผู้ชมด้วย

3.5.7.1 ป้ายคะแนนขนาดใหญ่ 2 ชุด ติดตั้งที่ด้านหลังแต่ละด้านของสนาม
- ป้ายคะแนน ติดตั้งที่กึ่งกลางเหนือสนามขึ้นไป ไม่มีความจำเป็นต้องงดใช้ป้ายคะแนน 2 ชุด
- แผงควบคุมสำหรับนาฬิกาแข่งขันต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข แยกแผงควบคุมสำหรับผู้จับเวลาแข่งขันและผู้ช่วยผู้บันทึกคะแนนออกจากกัน
- ป้ายคะแนนต้องประกอบด้วยตัวเลขระบบดิจิตอลแบบนับถอยหลังของนาฬิกา พร้อมสัญญาณเสียงดังมากพอซึ่งจะดังอัตโนมัติ
เมื่อสิ้นสุดเวลาการแข่งขันสำหรับช่วงการเล่นหรือช่วงต่อเวลาพิเศษ
- นาฬิกาแข่งขันและคะแนนที่แสดงในป้ายคะแนน มีความสูงอย่างน้อย 30 เซนติเมตร
- นาฬิกาทั้งหมดต้องเดินเป็นจังหวะเดียวกันและแสดงจำนวนของเวลาที่เหลือตลอดเกมการแข่งขัน
- ระหว่าง 60 วินาทีสุดท้ายของแต่ละช่วงการเล่น หรือช่วงต่อเวลาพิเศษ จำนวนของเวลาที่เหลือต้องแสดงเป็นวินาที และเป็น
1 ส่วน 10 ของวินาที
- เลือกนาฬิกาอีก 1 เรือน โดยผู้ตัดสินสำหรับเป็นนาฬิกาแข่งขัน
- ป้ายคะแนน ต้องแสดงสิ่งต่อไปนี้
- หมายเลขของผู้เล่นแต่ละคนและชื่อ-สกุลของผู้เล่น ถ้าสามารถแสดงได้
- คะแนนที่แต่ละทีมทำได้ และคะแนนของผู้เล่นแต่ละคนที่ทำให้ ถ้าสามารถแสดงได้
- จำนวนครั้งของการฟาล์วทีมจาก 1 ถึง 5 (สามารถหยุดที่ตัวเลข 5)
- ตัวเลขของช่วงการเล่น จาก 1 ถึง 4 และ E สำหรับช่วงต่อเวลาพิเศษ
- ตัวเลขของเวลานอกจาก 0 ถึง 3

3.5.7.2 เครื่องจับเวลา 24 วินาที พร้อมนาฬิกาแข่งขันที่ทำใหม่ตามแบบของเดิม และแสงสีแดงสดใสจะติดตั้งเหนือขึ้นไป
และอยู่ด้านหลังกระดานหลังทั้ง 2 ข้างมีระยะห่างระหว่าง 30 เซนติเมตร
- เครื่องจับเวลา 2 วินาที ต้องเป็นแบบอัตโนมัติ ตัวเลขระบบดิจิตอลแบบนับถอยหลังแสดงเวลาเป็นวินาที
และพร้อมด้วยสัญญาณเสียงดังมากพอโดยดังอัตโนมัติ เมื่อสิ้นสุดเวลาการเล่น 24 วินาที
- เครื่องจับเวลา 24 วินาที จะต้องจะต่อเชื่อมกับนาฬิกาการแข่งขันเรือนหลัก
- เมื่อนาฬิกาแข่งขันเรือนหลักหยุดเดิน เครื่องนี้จะหยุดเดินด้วย
- เมื่อนาฬิกาแข่งขันเรือนหลักเดินต่อ เครื่องนี้เริ่มเดินจากการควบคุมด้วยมือของผู้ควบคุม
- สีของตัวเลขของเครื่องจับเวลา 24 วินาที และนาฬิกาแข่งขันที่ทำขึ้นใหม่ตามแบบของเดิมจะต้องแตกต่างกัน
- นาฬิกาการแข่งขันที่ทำขึ้นใหม่ตามแบบของเดิมจะต้องมีรายละเอียดตรงกัน
- หลอดไฟที่อยู่ข้างบนด้านหลังกระดานหลังแต่ละข้างต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
-แสงสีแดงสดใสเกิดขึ้นพร้อมกับนาฬิกาแข่งขันเรือนหลัก เมื่อสัญญาณเสียงดังขึ้นสำหรับสิ้นสุดเวลาการแข่งขันของช่วงการเล่น
หรือช่วงต่อเวลาพิเศษ
- แสงสีแดงสดใสเกิดขึ้นพร้อมกับเครื่องจับเวลา 24 วินาที เมื่อสัญญาณเสียงดังขึ้น สำหรับการสิ้นสุดเวลาการเล่น 24 วินาที
Read more
การดูแลรักษาอุปกรณ์กีฬาบาสเกตบอล

๑. ไม่นำลูกบาสเกตบอลมาใช้เป็นที่รองนั่ง หรือยืนจะทำให้ลูกบาสเกตบอลผิดรูปทรง        

๒. อุปกรณ์การเล่นเมื่อเลิกเล่นแล้วต้องสำรวจดูให้ครบถ้วนและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
๓. ห้ามกระโดดเกาะ โยกเสาประตูหรือห้อยโหนห่วงประตูเล่น
๔. จัดเวรนำอุปกรณ์ และเก็บอุปกรณ์ไปไว้ในที่เก็บอุปกรณ์ให้เป็นระเบียบ
๕. ลูกบาสเกตบอลควรสูบลมให้มีความแข็งถูกต้องตามกติกา
๖. ในการปล่อยลมลูกบาสเกตบอลไม่ควรใช้ไม้ ลวด ตะปู หรือวัสดุอื่นใดที่ไม่ใช่เครื่องปล่อยลม
๗.ห้ามนำลูกบาสเกตบอลไปเล่นผิดประเภทกีฬา เช่นนำไปเตะ
๘. ถ้าลูกบาสเกตบอลเปียกน้ำหรือเปรอะเปื้อนให้เช็ดทำความสะอาดเก็บไว้ในที่ร่ม

     มีลมพัดผ่านแทนการผึ่งแดด
๙.
รักษาพื้นสนามให้เรียบ สะอาด และเส้นสนามควรชัดเจนให้อยู่ในสภาพพร้อมที่จะเล่น
๑๐.สำรวจเสาประตู กระดานหลัง หรือห่วงให้แน่นหนาแข็งแรง และปลอดภัย
๑๑.ตาข่ายควรใช้เทปหรือลวดพันยึดให้ติดแน่นกับห่วงประตูอยู่เสมอ
๑๒.สนับเข่า ผ้าพันข้อเท้า ชุดฝึกหรือชุดแข่งขันควรซัก และตากให้แห้งและอยู่ในสภาพ
      ที่พร้อมใช้ได้เสมอ
Read more
ประโยชน์ของการเล่นกีฬาบาสเกตบอล

    กีฬาบาสเกตบอลเป็นกีฬาที่ทำให้ผู้เล่นได้รับประโยชน์ดังนี้


๑. ช่วยพัฒนาส่งเสริมสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ได้แก่ ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา
     อารมณ์และสังคมแก่บุคคล
๒. ช่วยพัฒนาส่งเสริมกลไกการเคลื่อนไหวของร่างกาย (motor skills) ให้ทำงานประสาน
     กันดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมือ เท้า สายตาให้เคลื่อนไหวได้อย่างถูกต้อง
๓. เป็นกิจกรรมนันทนาการสำหรับพักผ่อน คลายความตึงเครียด แก่ผู้เล่นและผู้ชม
๔. ช่วยฝึกการตัดสินใจ และรู้จักคิดแก้ปัญหา ตลอดจนมีสมาธิที่ดี
๕. ช่วยฝึกให้มีน้ำใจเป็นนักกีฬา รู้จักแพ้ รู้จักชนะ และรู้จักให้อภัย
๖. ใช้เป็นสื่อนำในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและส่วนรวม
๗. ใช้เป็นสื่อนำในการจัดการกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาพลศึกษา
๘. ผู้เล่นที่มีความสามารถจะทำชื่อเสียงให้แก่ตัวเอง วงศ์ตระกูล และประเทศชาติ
๙. เป็นวิชาชีพด้านหนึ่งสำหรับงานกีฬา เช่น การแข่งขันกีฬาบาสเกตบอลอาชีพ
    เป็นต้น
Read more
ประวัติกีฬาบาสเกตบอลในประเทศ


       ประเทศไทยเริ่มเล่นกีฬาบาสเกตบอลกันตั้งแต่เมื่อใด สมัยใด ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน
อย่างแน่ชัด แต่เท่าที่ค้นคว้าและมีหลักฐานยืนยันว่าในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ นายนพคุณ
พงษ์สุวรรณ อาจารย์สอนภาษาจีนได้แปลกติกา การเล่นบาสเกตบอลจากภาษาอังกฤษ
เป็นภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรก

       พ.ศ ๒๔๗๗ กรมพลศึกษาได้จัดการแข่งขันกีฬา บาสเกตบอลระดับนักเรียนขึ้น
เป็นครั้งแรก สมัยที่ น.อ หลวงศุภชลาศัย ร.น ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมพลศึกษา

       พ.ศ ๒๔๙๕ ได้มีการจัดการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอลระหว่างนักเรียนหญิง และ
การแข่งขันระหว่างประชาชนทั่วๆไป

     พ.ศ. ๒๔๙๖ ได้มีการจัดตั้งสมาคมบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย และได้เป็นสมาชิก สมาคมบาสเกตบอลระหว่างประเทศตั้งแต่ วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๔๙๖
      ปัจจุบันกีฬาบาสเกตบอลถูกบรรจุในหลักสูตรการเรียนการสอนแทบ ทุกระดับการศึกษา
คือตั้งแต่ระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษา นอกจากนี้ยังมี การแข่งขัน อยู่ตลอดเวลา
องค์กรสำคัญที่ส่งเสริมและจัดการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอล ในประเทศไทย ได้แก่
สมาคมบาเกตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ กรมพลศึกษา กรุงเทพมหานคร
การกีฬาแห่งประเทศไทย ทบวงมหาวิทยาลัย (กีฬามหาวิททยาลัย) กองทัพ (กีฬาเหล่าทัพ) กองทัพอากาศ (กีฬานักเรียน) สถาบันการศึกษาทั่วไป
Read more
ประวัติกีฬาบาสเกตบอลต่างประเทศ

  กีฬาบาสเกตบอลเป็นกีฬาประเภททีม มีผู้เล่นฝ่ายละ ๕ คน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำลูกบาสเกตบอลไปโยนลงห่วงประตูของฝ่ายตรงกันข้ามให้ได้มากที่สุด โดยมีทักษะการเล่น ได้แก่ การส่ง – รับลูกการเลี้ยงลูกและการยิงประตู
         กีฬาบาสเกตบอลมีกำเนิดขึ้น เป็นครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มจาก ดร. เจมส์ เอ เนสมิท (JamesA.Naismith) ได้คิดขึ้นเพื่อเล่นในโรงพลศึกษาของโรงเรียนฝึกอบรม ของสมาคมวายเอ็มซีเอนานาชาติ
(International Young Men’s Christian Association Training School) ที่เมือง สปริงฟีลด์ มลรัฐแมสซาซูเซตส์ ในช่วงที่มีหิมะตก เมื่อ ค.ศ. ๑๘๙๑ (พ.ศ. ๒๔๓๔) โดยใช้ตะกร้าลูกพีช ๒ ใบแขวนเป็นประตู จึงทำให้กีฬานี้ได้ชื่อว่าบาสเกตบอล (Basketball) การเล่นครั้งนั้นใช้ ลูกฟุตบอลเป็นลูกบอล มีผู้เล่นทั้งหมด ๑๘ คน แบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายละ ๙ คน มีกฎการเล่น ๔ ข้อ คือ
          ๑. ห้ามถือลูกเคลื่อนที่
          ๒. ห้ามมิให้ผู้เล่นปะทะตัวกัน
          ๓. ประตูอยู่ระดับศีรษะและขนานพื้น
          ๔. ผู้เล่นจะถือลูกบอลนานเท่าใดก็ได้ และผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามจะต้องไม่ถูกตัวผู้เล่น



       ต่อมามีการปรับปรุงการเล่นเป็น ๑๓ ข้อโดยลดผู้เล่นเหลือฝ่ายละ ๕ คน เนื่องจากในการเล่นเกิดการ ปะทะกันเพราะสนามแคบ ดังนั้นจึงทำให้เกมการเล่นสมบูรณ์ยิ่งขึ้นทั้งยังลดการปะทะกันอีกด้วย ในปัจจุบันกติกาการเล่นดังกล่าวยังคงปรากฏอยู่ ณ โรงพลศึกษาเมืองสปริงฟีลด์ คือ
     ๑. การโยนลูกจะใช้มือเดียวหรือสองมือโดยไปในทิศทางใดก็ได้
     ๒. การตีลูกจะใช้มือเดียวหรือสองมือตีไปทิศทางใดก็ได้
     ๓. ผู้เล่นจะพาลูกบอลวิ่งไม่ได้ และต้องส่งตรงจุดรับลูกบอล ยกเว้นขณะที่วิ่งมารับลูกด้วยความเร็วให้เคลื่อนไหวได้เล็กน้อย
     ๔. ต้องจับลูกบอลด้วยมือทั้งสองข้าง โดยไม่ให้ใช้ส่วนอื่นของร่างกาย
     ๕ . การเล่นจะชน คือผลักหรือทำให้ฝ่ายตรงข้ามล้ม ถือว่าฟาวล์หนึ่งครั้ง ถ้าฟาวล์ครั้งที่สองให้ออกจากการแข่งขัน จนกว่าจะมีผู้เล่นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยิงประตูได้จึงจะกลับมาเล่นได้อีก ถ้าเกิดการบาดเจ็บขณะเล่นไม่อนุญาตให้มีการเปลี่ยนตัว
     ๖. การทุบด้วยกำปั้นถือว่าผิดกติกาให้ปรับเช่นเดียวกับ ข้อ 5
     ๗ . ทีมใดทำฟาวล์ติดต่อกัน 3 ครั้ง ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ประตู
     ๘. การได้ประตูทำได้โดยการโยนหรือปัดลูกบอลให้ขึ้นไปค้างบนตะกร้า
     ๙. เมื่อลูกบอลออกนอกสนาม ผู้เล่นนที่จับลูกบอลคนแรกเป็นผู้ทุ่มลูกเข้ามาเล่นต่อ กรณีที่ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครก่อนหลังผู้ตัดสินจะส่งลูกบอลเข้ามาให้ ผู้ส่งจะต้องส่งลูกบอล เข้าสนามภายใน 5 วินาที ถ้าช้ากว่านี้จะให้ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามส่งแทน ถ้าผู้เล่นถ่วงเวลา
          การเล่นให้ปรับฟาวล์
    ๑๐.ผู้ตัดสินมีหน้าที่ตัดสินผู้ฟาวล์ และลงโทษผู้เล่น
    ๑๑.ผู้ตัดสินทำหน้าที่ตัดสินลูกบอลออกนอกสนาม และรักษาเวลา บันทึกจำนวนลูกที่ได้ และทำหน้าที่ทั่วไปของผู้ตัดสิน
     ๑๒.การเล่นแบ่งเป็น 2 ครึ่ง ครึ่งละ 15 นาที
     ๑๓.ฝ่ายที่ทำประตูได้มากกว่าเป็นฝ่ายชนะหัวหน้าทีมจะตกลงกันถ้าคะแนนเท่ากัน เพื่อต่อเวลาแข่งขัน ถ้าฝ่ายใดทำประตูได้ก่อนจะเป็นฝ่ายชนะ

          กติกานี้ใช้มาจนถึง ค.ศ. ๑๙๓๗ (พ.ศ. ๒๔๘๐) จึงได้ปรับปรุงแก้ไขครั้งใหญ่เพื่อใช้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ ๑๑ ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศสเยอรมนี และใน ค.ศ. ๑๙๓๙ (พ.ศ. ๒๔๘๒) ดร.เจมส์ เอ. เนสมิท ก็เสียชีวิตลง ก่อน จะได้เห็นความสำเร็จ และความยิ่งใหญ่ในกีฬาบาสเกตบอลที่เขาคิดค้นขึ้น ต่อมาจากนั้นกีฬาบาสเกตบอลก็แพร่หลายพัฒนาการเล่นเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วเป็นที่รู้ ้จักกันทั่วโลก องค์กรที่เกี่ยวข้องกับกีฬาบาสเกตบอลในระดับนานาชาติ ได้แก่ สหพันธ์บาสเกตบอลนานาชาติ (ชื่อภาษาอังกฤษ International Amateur Basketball Federation ชื่อภาษาฝรั่งเศส Fe’de’ration International de Basketball Amateur ใช้ชื่อย่อว่า FIBA) นอกจากนี้ยังมีองค์กรในระดับทวีป เช่น สมาพันธ์บาสเกตบอลเอเชีย (Asian Basketball Confederation หรือ ABC) เป็นต้น


Read more